ข่าวเด่นวันที่ 1-10 เมษายน 2563

ข่าวเด่นวันที่ 1-10 เมษายน 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 7 เม.ย. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565

| 1,263 view

จังหวัดบิ่ญเซืองบรรลุเป้าหมายดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเร็วกว่ากำหนด

เมื่อสิ้นปี 2562 จังหวัดบิ่ญเซืองสามารถดึงดูดโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) มูลค่า 1.02 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ บรรลุเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับช่วงปี 2559-2563 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดในการดึงดูด FDI ได้มากเป็นลำดับสองในเวียดนามรองจากนครโฮจิมินห์

ปัจจุบัน จังหวัดฯ มีโครงการ FDI ทั้งหมด 3,780 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 3.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.48 ของมูลค่า FDI ทั้งประเทศ โดยมีนักลงทุนจาก 65 ประเทศ และนักลงทุนจากญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนสูงสุดกว่า 300 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต

นาย Tran Thanh Liem ประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดบิ่ญเซือง ให้ข้อมูลว่าจังหวัดฯพยายามปรับปรุงนโยบายการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ   และในอนาคตจะส่งเสริมและให้ความสำคัญต่อโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและพยายามลดภาคธุรกิจที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้นลง

ที่มา: Nhan Dan Online วันที่ 18 มีนาคม 2563

URL: https://en.nhandan.org.vn/business/item/8498002-binh-duong-meets-foreign-investment-target-ahead-of-schedule.html

 

เวียดนามมุ่งดึงดูดการลงทุนด้านการแปรรูปผลไม้

เลขาธิการสมาคมผักและผลไม้เวียดนามเปิดเผยว่า ปัจจุบันเวียดนามขาดแคลนผู้ประกอบการด้านการแปรรูปผลผลิตการเกษตร โดยเฉพาะในขั้นตอนการบรรจุหีบห่อและการเก็บรักษา รวมถึงการเพิ่มมูลค่าสินค้า โดยภาคเกษตรกรรมของเวียดนามยังคงจำกัดอยู่ในระดับครัวเรือนรายย่อยและนิยมใช้วิธีทางเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม มีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและแปรรูปผลผลิตไม่มากนัก ทำให้ผลผลิตมีมูลค่าต่ำและเกษตรกรมีรายได้น้อย

จากสถิติของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนามพบว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 เวียดนามส่งออกผักและผลไม้มูลค่า 513 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 11.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยพบว่า ราคาจำหน่ายผักและผลไม้จากเมืองดาลัต จังหวัดเลิมด่ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลูกผักของเวียดนามลดลงอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ปลูกในจังหวัดอื่นๆ เริ่มนำวิธีการปลูกลักษณะเดียวกันมาปรับใช้ทำให้เกิดอุปทานการผลิตส่วนเกิน นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าผักและผลไม้ไปยังประเทศจีนและกัมพูชายังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 โดยเฉพาะแก้วมังกร ขนุนและทุเรียน ที่ราคาลดลงถึง 5-6 เท่า อย่างไรก็ดี ราคาผลไม้เหล่านี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากจีนเริ่มอนุญาตให้ด่านการค้าชายแดนบางแห่งเปิดทำการอีกครั้ง

ทั้งนี้ เวียดนามยังคงพึ่งพาการส่งออกผักและผลไม้ไปยังตลาดเดิมๆ อาทิ จีน มากเกินไป ซึ่งเมื่อประเทศคู่ค้าปรับเปลี่ยนระเบียบการนำเข้าก็จะส่งผลต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ รัฐบาลจึงควรเร่งปฏิรูปโครงสร้างตลาดผักผลไม้ภายในประเทศและกระจายการส่งออกไปยังตลาดประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ภูมิภาคแอฟริกา ซึ่งกำหนดมาตรฐานการนำเข้าต่ำ รวมถึงเนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ได้รับรองมาตรฐานการส่งออกมะม่วงของเวียดนามแล้ว นอกจากนี้ ควรใช้โอกาสจากการบังคับใช้ข้อตกลงทางการค้า อาทิ ข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรป (EVFTA) และความตกลงการป้องการด้านการลงทุน (Investment Protection Agreement: IPA) ในการขยายตลาดไปยังยุโรปรวมถึงเอเชียในฐานะส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลกมากขึ้นด้วย

อนึ่ง เมื่อปี 2562 เวียดนามส่งออกผักและผลไม้ไปไทยมูลค่า 74.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ    เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.3 เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยความท้าทายอื่นๆ สำหรับอุตสาหกรรมผักและผลไม้ของเวียดนามคือ ปัญหาด้านคุณภาพสินค้าและความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ และยังไม่มีการบังคับใช้มาตรการในการเก็บเกี่ยวและกำจัดโรคอย่างครอบคลุม ทำให้ยากต่อการควบคุมอุปทานและคุณภาพผลผลิตให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ดังนั้น ตลาดในหลายประเทศจึงยังไม่ยอมรับมาตรฐานสินค้าการเกษตรจากเวียดนาม

ที่มา: Viet Nam News วันที่ 21 มีนาคม 2563

URL: https://vietnamnews.vn/economy/653926/viet-nam-calls-for-investment-in-fruit-and-vegetable-processing.html

 

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีรายได้สูงจากการจำหน่ายฟางข้าว

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายฟางข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงปลายปี 2562 ถึงต้นปี 2563 โดยฟางข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวสามารถนำมาผลิตปุ๋ยหมัก ทำอาหารสัตว์ และเพาะเห็ด ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก ส่งผลให้ฟางมีราคาสูงขึ้นและมีพ่อค้ามารอรับซื้อทันที โดยฟาง 1 กอง มีน้ำหนัก 20-25 กิโลกรัม สนนราคากองละประมาณ 30,000 ด่ง (ประมาณ 43 บาท) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 7,000-9,000 ด่ง (ประมาณ 9-10 บาท) ทำให้เกษตรกรมีรายรับจากการขายฟางข้าวช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาเฉลี่ยย รายละ 700,000-900,000 ด่ง (ประมาณ 900-1,200 บาท) ต่อ 1 เฮกตาร์ เช่น เกษตรกรรายหนึ่งจากจังหวัดด่งท้าป มีรายได้จากการขายฟางข้าวจากการทำนาสองรอบประมาณ 30 ล้านด่ง (ประมาณ 41,600 บาท) จากพื้นที่นา จำนวน 3 เฮกตาร์ ทำให้ไม่ต้องเผากองฟางที่นาข้าวและไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ

อนึ่ง ในช่วงปี 2562-2563 ฟางข้าวเป็นที่ต้องการสูงสำหรับการเพาะเห็ดและเห็ดฟางซึ่งสามารถนำไปประกอบอาหารได้ในหลายเมนู จึงทำให้มีผู้ประกอบการเช่าและนำเครื่องจักรมาอัดฟางของเกษตรกร ซึ่งสามารถอัดฟางได้ 120 – 150 กองต่อ 1 เฮกตาร์ และ 500 - 600 กองต่อวัน โดยเกษตรกรรายหนึ่งในนครเกิ่นเทอกล่าวว่าตนมีรายได้จากการเพาะเห็ดฟางขายเฉลี่ย 30-40 ล้านด่ง  (ประมาณ 41,600-54,400 บาท) ต่อการเพาะเห็ดในพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรต่อการปลูกหนึ่งรอบซึ่งใช้ระยะเวลาหนึ่งเดือน โดยพ่อค้าจะรับซื้อเห็ดกิโลกรัมละ 45,000-50,000 ด่ง (ประมาณ 60-63 บาท) ทำให้บางพื้นที่ต้องรับซื้อฟางจากจังหวัดใกล้เคียง และหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว เกษตรกรจะจำหน่ายกองฟางที่เหลือจากการเพาะเห็ดให้เกษตรรายใหม่เพื่อนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์สำหรับการเพาะปลูกดอกไม้ พืชผัก และผลไม้ต่อไป

ที่มา: Vietnamnet วันที่ 29 มีนาคม 2563

URL: https://vietnamnet.vn/en/business/mekong-delta-rice-farmers-earn-high-income-from-rice-straw-629013.html

 

บริษัท Super Energy จะลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มมูลค่า 457 ล้านดอลลาร์สหรัฐในภาคใต้ของเวียดนาม

บริษัท Super Energy ของไทยมีแผนการลงทุนมูลค่า 457 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่งในจังหวัดบิ่ญเฟื้อก ซึ่งเป็นโครงการของการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity – EVN) ได้แก่ โครงการ Loc Ninh 1, Loc Ninh 2, Loc Ninh 3 และ Loc Ninh 4 ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำลังการผลิตรวม 750 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ จะซื้อหุ้นโครงการดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 70-100 มูลค่า 72.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะใช้เงินมูลค่า 383.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนธันวาคม 2563 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะได้อัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed-in-Tariff: FiT) ที่ 7.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงสำหรับระยะเวลา 20 ปี และมีรายได้จากโครงการดังกล่าวปีละ 66.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.16 พันล้านบาท)

นอกจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว บริษัท Super Energy ยังต้องการลงทุนในโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ/ ของเสีย (waste-to-energy) และการบำบัดน้ำเสียจากอุตสาหกรรม นอกจากนี้ มีแผนการขยายการลงทุนด้านพลังงานทางเลือกในภูมิภาคเอเชียต่อไป โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและญี่ปุ่น

อนึ่ง ในปี 2562 เวียดนามมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 91 แห่ง รวมกำลังการผลิต 4,550 เมกะวัตต์ ซึ่งเกินขีดความสามารถการรองรับของสายส่งโครงข่ายไฟฟ้าไปมาก ทำให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างระบบสายส่งดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ปัจจุบัน โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดในเวียดนามที่ได้รับใบอนุญาต    การลงทุนแล้วมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 25,000 เมกะวัตต์ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ตั้งไว้เพียง 4,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2568

ที่มา: VNExpress วันที่ 30 มีนาคม 2563

URL: https://e.vnexpress.net/news/business/companies/thai-energy-firm-to-invest-457-mln-in-vietnam-solar-farms-4077049.html