ข่าวเด่นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560

ข่าวเด่นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560

วันที่นำเข้าข้อมูล 21 ก.พ. 2560

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562

| 916 view

ข่าวเด่นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560

1.       5 ข้อดี – ข้อเสีย ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ห้องคอนโดมิเนียมที่นครโฮจิมินห์ ในปี พ.ศ. 2560

แม้ว่าคนเวียดนามหลายคนจะชอบบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยได้มากกว่าห้องเล็กๆ แต่ในปี พ.ศ. 2560 ธุรกิจคอนโดมิเนียมก็จะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในนครโฮจิมินห์ นาย Trần Khánh Quang ผู้อำนวยการบริษัท Việt An Hòa บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของภาคใต้ ได้เสนอ 5 ข้อดี และ 5 ข้อเสียเพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจและเปรียบเทียบกัน

ข้อดี

1) ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก ข้อดีข้อนี้จะทำให้นักลงทุนไม่ต้องมีทุนจำนวนมากสำรองไว้ และสามารถสร้างแผนการทางการเงินที่มีตัวเลือกมากการกว่าลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ซึ่งนักลงทุนสามารถจ่ายเงินผ่อนเป็นงวดๆ ได้ ซึ่งหากเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ จะมีข้อกำหนดทางด้านการเงินที่มากกว่า

2) กระบวนการในการกู้เงินง่าย หากเปรียบเทียบกับอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ แล้ว การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมจะมีขั้นตอนการกู้เงินได้ง่ายกว่า และธนาคารส่วนมากในเวียดนามก็มีแนวโน้มให้กู้ยืมมากกว่า

3) กฎหมายคุ้มครองผู้ซื้อ ซึ่งกฎหมายนี้นับวันยิ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากกฎหมายที่อยู่อาศัยที่ถูกแก้ไขเมื่อไม่นานมานี้ นักธุรกิจที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะต้องทำสัญญากับธนาคารเพื่อที่จะได้รับการรับประกันว่าจะสามารถเอาไว้ขายในอนาคต ในกรณีที่ขายไม่ได้ ธนาคารจะมีเงินชดเชยให้กับผู้ซื้อคอนโดมิเนียม

4) สามารถลงทุนพร้อมกับระยะเวลาการสร้างคอนโดไปได้เลย ซึ่งการลงทุนนี้จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถเก็งกำไรในอนาคตได้

5) สามารถปล่อยให้เช่าได้ ซึ่งเป็นสถานที่ให้เช่าที่ดีกว่าบ้านที่มีพื้นที่ เพราะมีความสะดวกและราคาไม่แพงเท่า และมีรายงานว่าหากขึ้นปีที่ 15 ขึ้นไป ค่าเช่าคอนโดมิเนียมในนครโฮจิมินห์จะสามารถทำกำไรได้สำเร็จ

ข้อเสีย

1) ถูกโก่งราคามาก เป็นผลเนื่องมาจากนักลงทุนใช้ทุนมหาศาลในการโฆษณา นอกจากนั้น ห้องคอนโดมิเนียมต่างๆ ต่างถูกซื้อไว้ใช้ในอนาคต เมื่อจ่ายเงินไปแล้วก็ยังไม่ได้เห็น ไม่ได้ใช้ห้องจริงซึ่งบางครั้งห้องในโฆษณาก็ดูดีกว่าห้องจริงมากนัก

2) ราคาเพิ่มเพียงเล็กน้อย ซึ่งเมื่อเทียบกับบ้านในนครโฮจิมินห์จะเพิ่มราคาร้อยละ 5 ต่อ 10 ปี ซึ่งราคาห้องคอนโดมิเนียมนั้นยากที่จะเพิ่มราคาเพราะจะมีโครงการใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ และห้องที่ผ่านการใช้งานก็จะต้องทำการปรับสภาพใหม่ ซึ่งราคาค่าห้องจะเพิ่มในอัตราร้อยละ 5 เมื่อผ่านไป 15 – 20 ปี

3) ธนาคารจะตีมูลค่าค้ำประกันของอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ต่ำ ในขณะที่ธนาคารจะตีราคามูลค่าบ้านในนครโฮจิมินห์ร้อยละ 60 – 70 เมื่อเทียบกับยอดเงินที่ซื้อจริง คอนโดมิเนียมในนครโฮจิมินห์จะมีราคาไม่เกินร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับยอดเงินที่ซื้อจริงเท่านั้น

4) มีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ในเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา มีโครงการสร้างคอนโดมิเนียมในนครโฮจิมินห์นับหมื่นห้อง และในปี พ.ศ. 2560 ก็มีโครงการสร้างอีกประมาณ 25,000 – 30,000 ห้อง ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันการขายทอดตลาดและการแข่งขันกันปล่อยให้เช่าห้อง

5) ความไม่แน่ไม่นอนในอนาคต ปัจจัยนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนมักจะมองไม่เห็นและคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้พึ่งจะเริ่มขึ้นมาเพียง 1 – 2 ทศวรรษเท่านั้น ดังนั้นระบบกฎหมายก็ยังไม่เรียบร้อย วัฒนธรรมของผู้อยู่อาศัยร่วมกันยังไม่ได้รับการพัฒนา ผู้ลงทุนในโครงการสร้างอสังหาริมทรัพย์ก็ยังไม่เป็นมืออาชีพและยังต้องอาศัยเวลาอีกมากในการรวบรวมประสบการณ์ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่างๆ ในอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ขึ้นได้

แหล่งที่มา VnExpress วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 URL : http://kinhdoanh.vnexpress.net/tin-tuc/bat-dong-san/5-uu-nhuoc-diem-dau-tu-can-ho-tai-sai-gon-nam-2017-3542701.html

ภาพที่ 1 ภาพรูปแบบโครงการสร้างคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า

 

2.       บริษัท Thuan Binh จะลงทุนโครงการพลังงานทดแทน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจังหวัดบิ่งถ่วน

บริษัท Thuan Binh Wind Power Joint Stock Company มีแผนการจะลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ แถบริมทะเลของจังหวัดบิ่งถ่วน จังหัดนิ่งถ่วน และในเขตพื้นที่ที่ราบสูงภาคกลางระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2573

นาย Bui Van Thinh ประธานบริษัท Thuan Binh ได้เปิดเผยถึงแผนการเมื่อวานนี้ว่าบริษัทได้เริ่มเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าพลังงานลม Phu Luc ในเดือนพฤศจิกายน 2559 ซึ่งมีความสามารถผลิตไฟฟ้า 24 MW ในตำบล Phu Luc อำเภอ Tuy Phong จังหวัดบิ่งถ่วน โรงไฟฟ้าพลังงานลมนี้จะมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านล้านด่ง (47.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเชื่อมต่อกับสาย 110 – kV เพื่อส่งพลังงานไฟฟ้า 59 ล้าน kWh ต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 – 12 ปี นอกจากนั้นทางบริษัทยังมีแผนการเพิ่มเงินลงทุนจากเดิม 240 พันล้านด่ง (10.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็น 450 ล้านด่ง (19.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนงบประมาณของอีกสองโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่จะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลมได้ 510 MW และผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากกว่า 570 MW

นาย Thinh กล่าวเสริมว่า บริษัทต้องการเงินมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อจะพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดบิ่งถ่วน นิ่งถ่วน และพื้นที่ที่ราบสูงภาคกลาง ภายในปี 2573 บริษัทจะพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 100 MW ในพื้นที่โรงไฟฟ้า Phu Lac และจะเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นศูนย์พลังงานสะอาด นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนที่จะกู้เงินมาลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนจากธนาคาร German Development Bank ธนาคาร the Asian Development Bank ธนาคารโลก และบริษัทให้กู้ยืมเงินจากประเทศเดนมาร์ก

ตามที่รัฐบาลได้ประกาศแผนการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าแห่งชาติปี พ.ศ. 2554 – 2563 พร้อมด้วยวิสัยทัศน์สู่ปี พ.ศ. 2573 ยุทธศาสตร์ของแผนงานนี้คือการพัฒนาพลังงานทดแทน เป้าหมายคือพลังงานลม 800 MW ภายในปี 2563 และ 6,000 MW ภายในปี 2573 อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมผลิตพลังงานลมนี้ก็ยังไม่เป็นที่น่าดึงดูดใจของนักลงทุนเพราะว่าราคาซื้อขายยังอยู่ในระดับต่ำ นาย Thinh ได้กล่าวในประเด็นนี้ว่า ระดับความสามารถของโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานลมอยู่ในระดับต่ำอยู่มาก ทั้งประเทศสามารถผลิตได้เพียงแค่ 160 MW ซึ่งขีดความสามารถที่แท้จริงของทั้งประเทศสามารถผลิตได้มากถึง 10,000 MW นอกจากนั้นความไม่สะดวกสบายในการขนถ่ายอุปกรณ์นำเข้าทั้งทางบกและทางเรือทำให้การลงทุนพลังงานลมสูงขึ้นถึง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 MW ซึ่งสูงกว่าการลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีราคาประมาณ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 MW และถึงแม้ว่าจะมีนักลงทุนยื่นขอลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอยู่มาก แต่ยังไม่เริ่มดำเนินการเสียที ก็เป็นเพราะว่าราคาซื้อในตอนนี้อยู่เพียงแค่ 7.8 เซนต์สหรัฐ ต่อ 1 kWh และนักลงทุนหลายคนก็อยากให้รัฐบาลเพิ่มราคาเป็น 9.5 เซนต์สหรัฐ ต่อ 1 kWh เพื่อที่พวกเขาจะได้เริ่มดำเนินการลงทุนทันที

นาย Pham Thi Han รองผู้อำนวยการสำนักงานอุตสาหกรรมและการลงทุนจังหวัดได้กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในจังหวัดเบ๊นแจในเขตพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งมีโครงการลงทุนพลังงานลมยื่นขออนุญาตการลงทุน 5 โครงการใน 11 พื้นที่ ด้วยความสามารถในการผลิตรวมกัน 150 MW แต่ไม่มีนักลงทุนรายใดเริ่มการลงทุนเลยเนื่องมาจากราคาซื้อขายที่ไม่น่าดึงดูดใจ นาย Cao Van Trong ประธานคณะกรรมการประชาชนกล่าวว่า ราคาซื้อขายพลังงานในจังหวัดเบ๊นแจอยู่ที่ 7.8 เซนต์สหรัฐต่อ 1 kWh ซึ่งไม่คุ้มค่าการลงทุน และกลุ่มนักลงทุนหวั่งว่าจะสามารถขายได้ 9.6 เซนต์สหรัฐ ต่อ 1 kWh

ที่มา The Saigon Times Daily  วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 หน้า 1

 

3.       นครโฮจิมินห์จะเปิดใช้โครงการเรือขนส่งสาธารณะในเดือนมิถุนายน 2560

ภาพที่ 2 เรือข้ามแม่น้ำไซง่อน

สำนักงานการขนส่งนครโฮจิมินห์รายงานว่า นครโฮจิมินห์มีแผนจะเปิดใช้โครงการเรือขนส่งสาธารณะในเดือนมิถุนายน ด้วยความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาการจราจรในตัวเมืองภายใน

เส้นทางเดินเรือหมายเลข 1 จะเริ่มต้นที่ท่าเทียบเรือ Bach Dang ในเขต 1 ไปถึงเขต Thu Duc โดยจะมีระยะทางทั้งหมด 11 กิโลเมตร ประกอบด้วยกันทั้งหมด 11 ท่าเรือ ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ในเดือนมิถุนายน เส้นทางเดินเรือหมายเลข 2 จะเริ่มต้นที่ท่าเทียบเรือ Bach Dang ไปจนถึงเขต 8 มีระยะทางทั้งหมด 10.3 กิโลเมตร ซึ่งจะเชื่อมทั้งเขต 1 เขต 4 เขต 5 เขต 6 และ เขต 8 เข้าด้วยกัน ซึ่งจะเริ่มใช้ได้ในเดือนกันยายน 2560 ล่าช้ามา 3 เดือนเนื่องมาจากการขยายทางน้ำของคลอง Ben Nghe ในขณะนี้ ซึ่งทางสำนักงานการขนส่งจะร่วมมือกับผู้ลงทุนในการหาวิธีแก้ไขต่อไป

ในระยะแรก บริษัท Thoung Nhat ซึ่งเป็นบริษัทผู้ลงทุนในโครงการนี้จะมีเรือไว้ใช้บริการด้วยกัน 10 ลำ ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ลำละ 60 คน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ต่อ 1 เที่ยว และคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการในแต่ละวันประมาณ 5,000 คน คาดว่าราคาค่าโดยสารจะอยู่ที่ 15,000 ด่ง ต่อหนึ่งคน และการขนส่งทางสาธารณะทางน้ำจะเชื่อมต่อกับการขนส่งสาธารณะทางบก เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ทั่วเมือง

ที่มา The Saigon Times Daily วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 หน้า 1

 

*******************************

ศูนย์ธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์