วันที่นำเข้าข้อมูล 10 มี.ค. 2560
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562
ข่าวเด่นวันที่ 10 มีนาคม 2560
1. บริษัท SCG ซื้อกิจการบริษัทปูนซีเมนต์รายใหญ่ในภาคกลางของเวียดนาม
ภาพที่ 1 บริษัท SCG
บริษัท Siam Cement Group (SCG) ประเทศไทยได้ประกาศว่าบริษัทลูก SCG Cement-Building Materials Company Limited ได้ซื้อหุ้นร้อยละ 100 ในบริษัท Vietnam Construction Materials Joint Stock Company (VCM) ที่มีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์อยู่ที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ การซื้อกิจการในครั้งนี้มีมูลค่า 156 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัท SCG มองว่ามูลค่าจริงๆ ของการซื้อหุ้นในครั้งนี้จะอยู่ที่ 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ยและการลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาประสิทธิภาพของบริษัท
บริษัท VCM มีศักยภาพในการผลิตปูนซีเมนต์อยู่ที่ปีละ 3.1 ล้านตัน ซึ่งบริษัท SCG มองว่าจะสามารถพัฒนาความสามารถและประสิทธิภาพของบริษัทหลังจากลงทุนซื้อกิจการมาได้ ในปัจจุบันบริษัท SCG มีขีดความสามารถในการผลิตปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียน (ไม่รวมประเทศไทย) อยู่ที่ 10.5 ล้านตันต่อปี ซึ่งในไทยเองสามารถผลิตได้ถึง 23 ล้านตันต่อปี
บริษัทไทยหลายๆ บริษัท มีความสนใจในการควบกิจการของหลายๆ บริษัทก่อสร้างของเวียดนาม ก่อนหน้านั้นบริษัท Siam City Cement Public Company Limited (SCCC) ได้จ่ายเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการซื้อหุ้นร้อยละ 65 จากกลุ่มบริษัท LafargeHolcim Group เพื่อซื้อกิจการบริษัท Holcim Vietnam
บริษัท Holcim Vietnam เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ซึ่งมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 5 โรงงาน บริษัท LafargeHolcim Vietnam ได้พิสูจน์ตนเองว่าเป็นหนึ่งในบริษัทร่วมหุ้นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเวียดนาม หลังจากดำเนินกิจการมาได้ 23 ปี อย่างไรก็ตามบริษัท LafargeHolcim Vietnam ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Siam City Cement Vietnam ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2560
นอกจากบริษัท VCM แล้วนั้น บริษัท SCG ยังได้ควบกิจการบริษัทอื่นๆ ในเวียดนาม เช่น ในปี พ.ศ. 2555 บริษัท SCG ได้ซื้อหุ้นร้อยละ 85 ของกลุ่มบริษัท Prime Group มูลค่า 245 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้บริษัท SCG เป็นบริษัทผู้ผลิตอิฐเคลือบที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากนั้น 3 ปี บริษัท SCG ก็ได้ครอบครองหุ้นทั้งหมดของกลุ่มบริษัท Prime Group และบริษัท SCG ยังได้ควบกิจการของบริษัท Buu Long Cement ในปี พ.ศ. 2554 และลงทุนเพิ่ม 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตของบริษัทนี้เป็น 200,000 ตันต่อปี นอกจากนั้น บริษัท SCG ยังมีหุ้นร้อยละ 20 ในบริษัท Thieu Nien Tien Phong Plastics (NTP) และมีหุ้นประมาณร้อยละ 17 ในบริษัท Binh Minh Plastics (BMP)
ผู้บริหารของบริษัท SCG กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนไปกว่าร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการต่างๆ มากมายในเวียดนาม และเตรียมตัวที่จะลงทุนในโครงการอื่นๆ ซึ่งจะทำให้มูลค่าการลงทุนรวมของบริษัทมีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2560
บริษัท SCG เข้ามาลงทุนในเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และได้กลายเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ และการผลิตบรรจุภัณฑ์ กลุ่มบริษัทมีบริษัทย่อยในเวียดนาม 22 บริษัท และมีพนักงานกว่า 6,900 คน
ที่มา The Saigon Times Daily วันที่ 10 มีนาคม 2560 หน้า 1
2. จังหวัดเบ้นแจส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัด
ภาพที่ 2 การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
จังหวัดเบ้นแจกำลังรีบพัฒนาการท่องเที่ยวในระยะปี พ.ศ. 2559 – 2563 ซึ่งจุดแข็งในการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดคือ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเพื่อความเพลิดเพลิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวขึ้นร้อยละ 20 เมื่อถึงปี พ.ศ. 2563
นาย Tran Duy Phuong รองผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวจังหวัดเบ้นแจ ให้สัมภาษณ์ว่า จังหวัดกำลังรีบพัฒนาการท่องเที่ยวโดยเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการท่องเที่ยว การพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยว การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติ จังหวัดยังได้พัฒนาการท่องเที่ยวทางน้ำที่สำคัญของท้องถิ่นที่เรียกกันว่า Xu Dua ให้มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนั้น จังหวัดยังได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีคุณภาพดีขึ้น เช่น แม่น้ำในอำเภอ Chau Thanh แหล่งท่องเที่ยว My Thanh An พัฒนาคุณภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว และเพิ่มการโฆษณาการท่องเที่ยวและบริการต่างๆ
จังหวัดได้มีการลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการประปา ระบบไฟฟ้า และการดูแลสิ่งแวดล้อม จังหวัดได้สนับสนุนและช่วยเหลือให้นักลงทุนลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและในขณะเดียวกันยังได้ร่วมมือกับนักธุรกิจและท้องถิ่นต่างๆ ในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2560 จังหวัดเบ้นแจตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.2 ล้านคน ในจำนวนนั้น 550,000 เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และตั้งเป้าดึงดูดรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 1,042 พันล้านด่ง นับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2560 จังหวัดมีนักท่องเที่ยวประมาณ 120,000 คน ในจำนวนนั้น 55,000 คน เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 180 พันล้านด่ง
ที่มา Bao Tin Tuc วันที่ 10 มีนาคม 2560
3. ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในนครโฮจิมินห์ประสบปัญหาความล่าช้าในการดำเนินโครงการ
ผู้ซื้อห้องในโครงการอาคารอพาร์ตเมนต์ 584 Lilama SHB ในอำเภอ Tan Phu นครโฮจิมินห์ยังคงเรียกร้องค่าชดเชยเนื่องจากยังไม่ได้รับมอบห้องในโครงการตามระยะสัญญาเวลาการสร้าง 6 ปี โดยมีผู้ซื้อประมาณ 60 รายได้ร้องขอค่าเสียหายหรือค่าเช่าห้องคืน แต่ทั้งนี้ผู้ลงทุนทั้ง บริษัท Transport Engineering Construction บริษัท Business Investment 584 Joint Stock Company (TECBI 584 JSC) และบริษัท Lilama SHB Construction & Business Investment Joint Stock ดูเหมือนจะว่าเพิกเฉยต่อคำขอร้องดังกล่าว
ผู้ซื้อห้องรายหนึ่งกล่าวว่า เขาซื้อห้องชุดโครงการอาคารอพาร์ตเมนต์ 584 Lilama SHB 584 ในปี พ.ศ. 2552 ด้วยเงินจำนวน 635 ล้านด่ง ซึ่งการดำเนินโครงการได้มีความล่าช้าหลังจากที่เขาได้จ่ายเงินครึ่งหนึ่งของห้องไปแล้ว
ในการประชุมกับลูกค้าเมื่อปี พ.ศ. 2557 บริษัท TECBI 584 JSC ได้ยื่นข้อเสนอสองข้อให้กับลูกค้า ได้แก่ 1. รับเงินคืนหลังจากจ่ายมาแล้ว 6 เดือน หรือ 2. ชำระเงินเต็มจำนวนในการครอบครองห้อง จนถึงขณะนี้ นักลงทุนได้คืนเงินส่วนหนึ่งให้แก่ลูกค้าที่เลือกตัวเลือกแรกแต่ยังคงไม่ได้มอบห้องให้กับผู้ที่ตกลงที่จะชำระเงินเต็มจำนวนเนื่องจากยังดำเนินการสร้างไม่เสร็จ
อาคารอพาร์ตเมนต์ 584 Tan Kien เป็นอีกโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท TECBI 584 JSC ในเขต Tan Binh ซึ่งก็ยังไม่เสร็จตามกำหนดการ Block B ของโครงการมีจำนวน 532 ยูนิตซึ่งมีการดำเนินงานเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้แก่ลูกค้าในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2554 เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ Block A ซึ่งมีจำนวน 420 ยูนิตมีความล่าช้าเมื่อการก่อสร้างได้เกือบร้อยละ 80 แต่ผู้ซื้อห้องได้ชำระเงินไปร้อยละ 80 – 90 เรียบร้อยแล้ว
ผู้ซื้อห้องชุดรายหนึ่งกล่าวว่า นักลงทุนได้ส่งมอบอพาร์ทเมนต์ให้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว ซึ่งบางครั้งธนาคารได้ส่งพนักงานมาปิดอพาร์ทเมนท์นั้นเนื่องจากนักลงทุนได้ใช้โครงการเป็นหลักประกันในการกู้ยืม ทั้งสองกรณีล่าสุดทำให้เห็นว่า ลูกค้ามีความเสี่ยงเมื่อซื้ออพาร์ทเมนต์ในโครงการที่พัฒนาโดยนักลงทุนซึ่งประสบปัญหาทางด้านการเงิน
ก่อนหน้านี้ โครงการก่อสร้างอาคารอพาร์ตเมนต์ PetroVietnam Landmark ของบริษัท PetroVietnam ในนครโฮจิมินห์ เขต 2 ประสบปัญหาเช่นเดียวกันซึ่งโครงการดังกล่าวถูกระงับไว้เป็นเวลาหลายปี ศาลนครโฮจิมินห์ได้ตัดสินคดีให้บริษัท PVCLand ล้มละลายแต่ผู้ซื้อที่ชำระเงินจำนวนร้อยละ 80-90 ของมูลค่าตามสัญญากลัวว่าจะสูญเสียเงินไป ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการตัดสินคดีให้ล้มละลายนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นแม้ว่าจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวนก็ตาม ซึ่งนักลงทุนจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการล้มละลายและเงินเดือนของพนักงานรวมถึงภาระทางการเงินอื่น ๆ ต่อรัฐก่อนที่จะชำระเงินค่าชดเชยสำหรับลูกค้า
ตามกฎหมายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 นักลงทุนต้องได้รับการค้ำประกันจากธนาคารก่อนที่จะขายหรือเช่าโครงการเนื่องจากธนาคารต้องรับผิดชอบในการคืนเงินให้กับผู้ซื้อในกรณีที่มีการโอนห้องชุดล่าช้า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางรายละเมิดข้อบังคับด้วยการขายหรือปล่อยให้เช่าด้วยตนเองเมื่อไม่ได้รับการค้ำประกันจากธนาคาร ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและผู้ซื้อจำเป็นตัดสินใจอย่างรอบคอบในการซื้ออพาร์ทเมนต์
แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์ Saigon Times ฉบับวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560
*************************
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)