วันที่นำเข้าข้อมูล 31 มี.ค. 2560
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562
ข่าวเด่นวันที่ 30 มีนาคม 2560
ภัยแล้งเมื่อปีที่แล้วได้ส่งผลกระทบต่อพืชพันธุ์และทำให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงต่อเกษตรกรในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ในปีนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ของจังหวัดในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้สนับสนุนให้พัฒนาสายพันธุ์พืช สร้างเขื่อนกั้นน้ำและสร้างกำแพงกั้นไว้เพื่อรองรับต่อภัยจากสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ตั้งใจที่จะป้องกันการเกิดภัยพิบัติซ้ำรอยในปีที่ผ่านมาและถือเป็นภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 90 ปี ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งภูมิภาคเนื่องจากน้ำเค็มแทรกซึมพื้นดิน ในปีนี้ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้มีการกักเก็บน้ำจืดไว้อย่างมาก รวมถึงปรับปรุงระบบการสร้างท่อระบายน้ำ ปรับโครงสร้างของพืช และสร้างแผนแม่บทเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กรมชลประทานสังกัดกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทกล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2560 มีการคาดการณ์ว่าระดับน้ำเค็มแทรกซึมพื้นดินจะอยู่ในระดับที่สูงขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ ผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรจะลดน้อยลง มีการคาดการณ์ว่าระดับน้ำเค็มได้เริ่มไหลเข้าสู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแล้วและจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นในต้นเดือนมีนาคม
ผู้นำสำนักงานการเกษตรและการพัฒนาชนบทของจังหวัดเกียนยางในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกล่าวว่า ทางจังหวัดได้ออกมาตรการเพื่อป้องกันด้วยมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 40,000 ล้านด่ง (1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อปรับปรุงฝายกั้นน้ำกว่า 276 แห่งและสร้างกำแพงกั้นแม่น้ำ Kien และคลอง Cut ส่วนเงินทุนอีกจำนวน 20 พันล้านด่งได้ถูกใช้เพื่อการขุดหลุมเพิ่มเติมสำหรับสำรองน้ำจืดในพื้นที่อย่างเพียงพอ โดยจังหวัดได้ทำงานร่วมกับจังหวัดใกล้เคียงเพื่อวางแผนการใช้ทรัพยากรน้ำ และวางแผนสำหรับการเพาะปลูกในช่วงหน้าหนาวและฤดูใบไม้ร่วงโดยบริหารจัดการน้ำจากแหล่งน้ำของท้องถิ่นต่างๆ
จังหวัดบากเลียวก็ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนและการแทรกซึมพื้นดินของจากน้ำเค็มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เช่นกัน ซึ่งทางจังหวัดได้มีการร่วมมือกับจังหวัดใกล้เคียงอย่างจังหวัดก่าเมาและจังหวัดซอกจาง เพื่อเร่งสร้างแหล่งชลประทานกว่า 100 แห่งที่ใช้สำหรับการปรับระดับการใช้น้ำจืด อีกทั้งมีการสร้างเขื่อนชั่วคราวมากกว่า 40 แห่งและได้เตือนให้เกษตรกรใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า
ในความพยายามที่จะป้องกันการแทรกซึมพื้นดินของน้ำเค็มและรักษาคุณภาพดินนั้น เกษตรกรในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้ลดการเพาะปลูกข้าวจาก 3 ครั้งต่อปี เป็น 2 ครั้งต่อปี เวลาที่ลดลงในการปลูกข้าวจะนำไปใช้เพื่อปลูกพืชผักหมุนเวียนชนิดอื่นๆ แทน โดยจังหวัดเตียนซางได้เริ่มปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวแต่เดิมกว่า 2,500 เฮกตาร์มาใช้เพื่อการเพาะปลูกผักผลไม้แทน
ภาพที่ 1 เกษตรกรประกาศขายที่ดินในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
แผนแม่บท
ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปสำหรับแผนแม่บทของบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในการปรับปรุงและดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
ดร. Tang Duc Thang จากสถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำภาคใต้กล่าวว่า บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงต้องการแผนแม่บทระยะยาวเพื่อรับมือกับภาวะแห้งแล้งและแทรกซึมของน้ำเค็ม จากรายงานของกรมชลประทานพบว่า ปีนี้ปริมาณน้ำจืดในแม่น้ำโขงลดลงประมาณร้อยละ 15-35 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรและชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่ โดยรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในการควบคุมน้ำเค็มตามแนวแม่น้ำ Tien และแม่น้ำ Hau และประบปรุงระบบชลประทานด้วยระบบตรวจจับน้ำเค็มอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับระบบชลประทานอย่างมีประสิทธิภาพ
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการปีพ.ศ. 2558-2563 เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เชื่อมโยงการผลิตทางการเกษตรและการพัฒนาชนบทในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง รวมถึงแผนการปลูกพืชและผลไม้ และการเพาะเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ต่างๆ อาทิ ข้าว มะพร้าว ส้มโอ เป็นต้น โดยนาย Tran Cong Thang รองผู้อำนวยการสถาบันนโยบายและยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาการเกษตรและชนบทให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ทางพื้นที่ต้องมีการพัฒนาระบบการเกษตรเพิ่มเติมเองโดยการสร้างเขื่อนชลประทาน เพิ่มคุณภาพการวัดระดับน้ำและการประกาศแจ้งเตือน รวมถึงเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินและเทคโนโลยีและการปลูกพืชพันธุ์ให้หลากหลายขึ้น
ความเค็ม: เพื่อนหรือศัตรู?
ดร. Andrew Wyatt ผู้จัดการโครงการสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) กล่าวว่า หน่วยงานและชุมชนท้องถิ่นของเวียดนามควรเปลี่ยนมุมมองต่อการแทรกซึมของน้ำเค็มให้เป็นโอกาสในการพัฒนารูปแบบใหม่ ซึ่งกิจกรรมทางการเกษตรอาจเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์จากน้ำเค็มได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบชลประทานในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้ช่วยให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกข้าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดทางตอนใต้สุดอย่างจังหวัดก่าเมานั้น เกษตรกรในท้องถิ่นได้ทำลายระบบชลประทานและเขื่อนเพื่อที่จะสามารถสูบน้ำเค็มเข้าไปในฟาร์มกุ้งได้ ดังนั้นตอนนี้เป็นเวลาอันเหมาะสมแล้วที่จะทบทวนการผลิตทางการเกษตรในภูมิภาคอย่างรอบคอบในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แบบจำลองการเลี้ยงกุ้งชายเลน
โครงการในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศและเป็นรูปแบบการทำฟาร์มกุ้งชายเลนแบบบูรณาการประสบความสำเร็จอย่างมากในภูมิภาคชายฝั่งของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โครงการดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในจังหวัดก่าเมาและช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นขณะเดียวกันก็รักษาป่าชายเลนที่มักจะถูกทำลายโดยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในช่วงที่ผ่านมา เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหลายรายได้เลิกการเพาะเลี้ยงกุ้งชายเลนเพื่อสร้างบ่อเลี้ยงกุ้งที่เจริญเติบโตในน้ำเค็ม ทำให้เกิดการกัดกร่อนของชายฝั่งและเพิ่มการรุกของน้ำเค็มในพื้นที่เพาะเลี้ยงในประเทศลดลง
ดร. Andrew Wyatt กล่าวว่า หลายๆ ครัวเรือนได้รับการฝึกอบรมที่อนุญาตให้พวกเขาได้รับใบรับรองในการเลี้ยงกุ้งโดยไม่ใช้อาหารอุตสาหกรรมหรือสารเคมี อีกทั้งเกษตรกรยังได้เรียนรู้วิธีจัดการของเสียจากครัวเรือนและปกป้องป่าอีกด้วย และด้วยแบบจำลองนี้ ผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นสามารถหาเลี้ยงชายฝั่งชีพได้อย่างยั่งยืนในขณะที่ป่าชายเลนจะได้รับการอนุรักษ์และชายฝั่งจะได้รับการปกป้องด้วย นอกจากนั้นแล้ว น้ำใต้ดินยังได้รับการคุ้มครองด้วยเนื่องจากป่าชายเลนช่วยลดการระเหยของน้ำนั่นเอง หากมีการปกป้องน้ำใต้ดินได้แล้วนั้นก็จะสามารถช่วยลดภาวะน้ำซึมพื้นดินได้ และตอนนี้ระดับน้ำบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงคาดว่าจะลดลงประมาณ 10 มิลลิเมตรต่อปีเนื่องจากการใช้น้ำบาดาลมากเกินไป
แหล่งที่มา : Vietnam Investment Review วันที่ 15 มีนาคม 2560
URL : http://www.vir.com.vn/mekong-delta-takes-urgent-steps-to-prevent-drought.html
เวียดนามกำลังเรียกร้องให้นักลงทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยเวียดนามพยายามที่จะปฏิรูปการลงทุนเพื่อเอื้อต่อการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ โดยนาย Lee Hsien Long ได้เดินทางมาเยือนนครโฮจิมินห์ในวันที่ 21 มีนาคม 2560 โดยได้รับการต้อนรับจากนาย Nguyen Thanh Phong ประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ และพูดคุยถึงการส่งเสริมการลงทุนในนครโฮจิมินห์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
นาย Nguyen Thanh Phong ได้เสนอให้สิงคโปร์ลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในเมืองโฮจิมินห์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ประเทศที่มีสถานะเป็นเกาะอย่างสิงคโปร์กลายเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ในนครโฮจิมินห์ นาย Nguyen Thanh Phong ยังได้เสนอให้สิงคโปร์ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารที่ถูกสุขอนามัยและช่วยให้มีแผนแม่บทสำหรับรถไฟใต้ดิน นอกจากนั้น นครโฮจิมินห์ยังได้เชิญชวนให้สิงคโปร์ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคล และผลักดันการสร้างเมืองอัจฉริยะ และเรียกร้องให้นาย Lee Hsien Long ช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนชาวสิงคโปร์มาลงทุนในนครโฮจิมินห์เพื่อเป็นเครื่องยืนยันของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศเวียดนามและประเทศสิงคโปร์ด้วย
ความสัมพันธ์ของเวียดนามและสิงคโปร์พัฒนามาอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากเขตอุตสาหกรรม Vietnam – Singapore Industrial Park ที่เปิดทำการในภาคใต้ของเวียดนามเป็นระยะเวลากว่า 21 ปี
นาย Lee Hsien Long นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า ขณะนี้มีโครงการของสิงคโปร์ที่ลงทุนในนครโฮจิมินห์ประมาณ 900 โครงการ ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่านักลงทุนชาวสิงคโปร์สนใจลงทุนในนครโฮจิมินห์ และสิงคโปร์ต้องการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือกับนครโฮจิมินห์ เช่น การแลกเปลี่ยนพนักงาน การแบ่งปันประสบการณ์ด้านการจัดการ การพัฒนาเมืองและการก่อสร้าง
สิงคโปร์ถือเป็นนักลงทุนต่างชาติลำดับที่ 3 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 38 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน 1600 โครงการ ได้แก่ โครงการด้านเทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ การขนส่งและคมนาคม และยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ลำดับที่ 12
แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ Vietnam News วันที่ 22 มีนาคม 2560 หน้า 1
บริษัท Saigon Co.op วางแผนเปิดร้านสะดวกซื้อ Co.op Smile อีก 500 สาขาเพื่อขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก และเพื่อรักษาสถานะผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยร้าน Saigon Co.op ประมาณ 190 สาขา จะถูกยกระดับเป็นร้าน Co.op Smile และจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นในเมืองโฮจิมินห์รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงในปีนี้ บริษัท Saigon Co.op เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง Co.opmart จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่างเป็นทางการชื่อ Co.op Smile ซึ่งมีพื้นที่ขนาด 20-200 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยในเขตเมืองและชานเมือง ร้านค้าแต่ละแห่งมีมูลค่าประมาณ 1-2 พันล้านด่ง และมีสินค้า 1,500-2,000 รายการ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ปัจจุบันมีร้านสะดวกซื้อ Co.op Smile จำนวน 20 แห่ง และ Saigon Co.op ยังสามารถรักษาสถานะผู้นำด้านตลาดค้าปลีกได้ ร้านค้าปลีกที่สำคัญของ Saigon Co.op ได้แก่ Co.opmart (ซูเปอร์มาร์เก็ต) Co.opXtra (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) Co.opFood Ben Thanh Store และ Sense City
นอกจากนั้น บริษัท Saigon Co.op ยังมีแผนการจะเพิ่ม Co.opFood จาก 100 สาขา เป็น 165 สาขา และเปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ต Co.opMart แห่งใหม่อีก 8-10 แห่ง และสร้างศูนย์การค้า Sense City ในจังหวัดก่าเมา จังหวัดทางภาคใต้ของเวียดนาม บริษัทกำลังวางแผนสร้างธุรกิจใหม่ ชื่อ Co.opMart Finest ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อการช็อปปิ้งแบบมัลติมีเดียและอื่น ๆ
แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ The Saigon Times วันที่ 20 มีนาคม 2560 หน้า 1
***********************************************
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)