ข่าวเด่นวันที่ 3 เมษายน 2560

ข่าวเด่นวันที่ 3 เมษายน 2560

วันที่นำเข้าข้อมูล 3 เม.ย. 2560

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562

| 1,157 view

ข่าวเด่นวันที่ 3 เมษายน 2560

  1. นครโฮจิมินห์จะสามารถเก็บภาษีร้านค้าบน Facebook ได้ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2560

ภาพที่ 1 นครโฮจิมินห์เล็งเก็บภาษี Facebook

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ปัญหาการเก็บภาษีผู้ประกอบธุรกิจบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งบน Facebook เป็นปัญหาที่หน่วยงานต่างๆ ในนครโฮจิมินห์กังวลกับการหลีกเลี่ยงภาษีของพ่อค้าแม่ค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ สำนักงานศุลกากรได้เตรียมแผนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของผู้ประกอบธุรกิจบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะซึ่งจะถูกนำเสนอให้คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์นำมาปรับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 เป็นต้นไป

หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการร่วมกับสำนักงานศุลกากร ได้แก่ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศนครโฮจิมินห์ สำนักงานอุตสาหกรรมและการค้านครโฮจิมินห์ เหล่าผู้ประกอบกิจการบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ธนาคาร ไปรษณีย์ และอื่นๆ ร่วมกันหารือแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี ซึ่งสำนักงานศุลกากรจะนำข้อเสนอของสำนักงานอุตสาหกรรมและการค้ามาปรับใช้ในการจัดเก็บภาษี

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการหลายคนกล่าวว่า การเก็บภาษีร้านค้าบน Facebook เป็นเรื่องที่ยากมากเพราะร้านค้าภาคเอกชนต่างๆ สามารถสร้างบัญชีบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ใหม่เรื่อยๆ สำหรับการค้าขาย ยิ่งไปกว่านั้น การค้าขายบนเครือข่ายอินเตอร์เป็นเป็นธุรกิจที่ตรวจสอบได้ยาก อาทิ การใช้จ่ายซื้อของด้วยเงินสด การจำแนกภาษี การจำแนกผู้ประกอบธุรกิจแบบพาร์ททาม หรือตามชนิดสินค้า

ที่มา VnExpress วันที่ 28 มีนาคม 2560

URL: http://kinhdoanh.vnexpress.net/tin-tuc/thuong-mai-dien-tu/tp-hcm-co-the-thu-thue-ban-hang-qua-mang-tu-thang-4-3561931.html

 

  1. การสร้างโรงไฟฟ้า 2 แห่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดแคลนไฟฟ้า

รองนายกรัฐมนตรี Trinh Dinh Dung ได้เข้าร่วมประชุมกับกระทรวง หน่วยงานท้องถิ่น และนักลงทุนที่เกี่ยวข้องในโครงการสร้างโรงไฟฟ้า Long Phu 1 (จังหวัดซอกจาง) และโรงไฟฟ้า Song Hau (จังหวัดเหิ่วซาง) ในวันที่ 24 มีนาคม 2560 โดยรองนายกได้กล่าวว่า มีความเสี่ยงสูงมากที่ภาคใต้จะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2562 และหากไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แน่นอนว่าวิกฤติการการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

โครงการโรงไฟฟ้า Long Phu 1 และ Song Hau 1 จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการแก้ไขปัญหาข้างต้นและจะทำให้ภาคใต้มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเพิ่มการตรวจสอบนักลงทุนเพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพของโครงการและร่วมมือกับกลุ่มบริษัท Petro Vietnam และบริษัท EPC เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

โครงการนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ถ่านหินในการผลิตพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการสร้างโครงการท่าเรือเพื่อเคลื่อนย้ายถ่านหินที่จะป้อนโรงไฟฟ้าดังกล่าว โดยรองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่า ปัจจุบันบริษัท Vinacomin ได้ถือกรรมสิทธิ์ในการลงทุนโครงการก่อสร้างท่าเรือขนย้ายถ่านหิน แต่หากบริษัท Vinacomin ไม่สามารถดำเนินโครงการนี้ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องหานักลงทุนคนอื่นๆ เข้ามาลงทุนแทน

นอกจากนั้น รองนายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแร่งทำรายงานความก้าวหน้าในการพัฒนาเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า Hoa Binh และ Yaly ตรวจสอบการก่อสร้างศูนย์การไฟฟ้า Long An – Tan Phuoc ตรวจสอบโครงการพลังงานต่างๆ ที่จังหวัดกว๋างนาม กว๋างหงาย เญินแจค และพัฒนาโครงการพลังงานไฟฟ้าต่างๆ ในประเทศ

รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการวางแผนและการลงทุนร่วมมือกันในการตรวจสอบการกู้ยืมที่จะใช้ในการลงทุนต่างๆ และเงินกู้ยืมในโครงการพลังงาน BOT ที่นักลงทุนต่างประเทศได้เข้ามาลงทุน กระทรวงสิ่งแวดล้อมจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยรองนายกได้กล่าวว่า เวียดนามมีความจำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด

ที่มา VFPRESS วันที่ 28 มีนาคม 2560

http://vfpress.vn/thoi-su/hang-hoa/nguy-co-thieu-dien-tai-mien-nam-la-rat-cao-485758.html

 

  1. จังหวัดกว๋างนาม จุดสนใจของนักลงทุนในภาคกลาง

นาย Nguyen Xuan Phuc นายกรัฐมนตรีประเทศเวียดนามได้กล่าวถึงจังหวัดกว๋างนามเมื่อครั้งเยือนจังหวัดดังกล่าวในช่วงเทศกาลตรุษเวียดนาม พ.ศ. 2560 ไว้ดังนี้

เพียงแค่ระยะเวลา 20 ปี หลังจากสถาปนาจังหวัดใหม่อีกครั้ง จังหวัดกว๋างนามได้กลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคกลาง และพร้อมที่จะบูรณาการเข้าสู่ตลาดระดับนานาชาติ จังหวัดกว๋างนามประสบความสำเร็จมากมายอาทิเช่น (1) การก่อสร้างระบบเครือข่ายการคมนาคมที่เชื่อมต่อกับท่าเรือและสนามบินต่างๆ (2) การพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและภาคการบริการ (3) การพัฒนาสวัสดิการสังคมโดยเฉพาะคนกลุ่มน้อย (4) เพิ่มการเก็บงบประมาณจากปีละ 100 พันล้านด่ง (ประมาณ 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็น 20 ล้านล้านด่ง (909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 163 และส่งผลให้จังหวัดกว๋างนามกลายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีเงินสนับสนุนงบประมาณของรัฐบาลมากที่สุด

โดยนาย Phuc เสนอแนะว่า จังหวัดจะต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรในจังหวัด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรค์ต่างๆ เพื่อให้จังหวัดกว๋างนามมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ความยากลำบากในอดีต สู่ความเจริญในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2540 จังหวัดกว๋างนามและนครดานังถูกแยกออกจากกัน โดยในช่วงแรกของการสถาปนาจังหวัด กว๋างนามต้องเผชิญกับข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งจังหวัดกว๋างนามเน้นการทำการเกษตรเป็นหลัก เป็นจังหวัดด้อยพัฒนา อีกทั้งยังขาดแคลนโรงเรียนและโรงพยาบาลในหลายๆ พื้นที่

อย่างไรก็ตาม ทางการจังหวัดกว๋างนามได้มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขสถานการณ์นี้โดยได้ออกนโยบายและแผนการพัฒนาทรัพยากรและข้อได้เปรียบของจังหวัด โดยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล หน่วยงานต่างประเทศ และผู้คนในจังหวัด ทำให้จังหวัดกว๋างนามพัฒนาขึ้นในหลายๆ ด้านและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างนามได้ปฎิรูปและพัฒนาระบบเศรษฐกิจของจังหวัด โดยได้เน้นใน 3 ภารกิจหลักคือ (1) การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (2) การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน (3) การพัฒนาคุณภาพแรงงาน โดยเน้นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุด เช่นการสร้างสนามบินนานาชาติ Chu Lai ท่าเรือ Ky Ha และท่าเรือ Tam Hiep โดยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ “Made In Chu Lai” สู่ตลาดระดับชาติและระดับโลก การขยายถนนหลวงหมายเลข 1A และการสร้างทางด่วนนครดานัง – จังหวัดกว๋างหงาย นอกจากนั้น ยังเพิ่มด่านชายแดนเชื่อมต่อประเทศลาวและจังหวัดกว๋างนาม และลงทุนในการสร้างเขตอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เขตเศรษฐกิจเปิด Chu Lai อีกด้วย

ทั้งนี้ จังหวัดกว๋างนามเองได้วางนโยบายการพัฒนาชนบทควบคู่ไปกับการพัฒนาตัวเมือง โดยอัตราการเจริญเติบโตของเมืองได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14 ในปี พ.ศ. 2540 เป็นร้อยละ 24.2 ในปี พ.ศ. 2559 มีเมืองสองแห่งที่มีประชากรอยู่หนาแน่นคือเมือง Tam Ky และเมือง Hoi An ซึ่งเมืองหลังได้รับการรับรองจากองค์กร UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลก

อัตราการเติบโตของจังหวัดในปี พ.ศ. 2559 มี GDP เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 14.7 และ GDP ต่อหัวประชากรเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2540 เพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า โดยส่วนแบ่ง GDP ของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากร้อยละ 48 ในปี พ.ศ. 2540 เหลือร้อยละ 11.9 ในปี พ.ศ. 2559 ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างและภาคบริการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 52 ในปี พ.ศ. 2540 เป็นร้อยละ 88.1 ในปี พ.ศ. 2559 โดยมีภาคอุตสาหกรรมหลักคือธุรกิจการประกอบรถยนต์ อันสืบเนื่องมาจากการสร้าง Chu Lao – Truong Hai Automobile Complex และไม่นานมานี้ บริษัท ExxonMobil ได้ร่วมมือกับบริษัท Petro Vietnam ลงทุนในโครงการพลังงานและแก๊สธรรมชาติมูลค่า 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับการอณุญาตจากนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว

เกาะ Cu Lao Cham ในจังหวัดก็ได้รับการรับรองจากองค์กร UNESCO ให้กลายเป็นพื้นที่สงวนทางชีวภาพ ทำดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2559 กว๋างนามมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 4.4 ล้านคน โดยในจำนวนนั้น 2.3 ล้านคนเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ภาพที่ 2 เมืองมรดกโลก Hoi An

ที่มา Vietnam Investment Review วันที่ 20 – 26 มีนาคม 2560 หน้า 4-9

 

***********************************************

ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์