ข่าวเด่นวันที่ 26 - 27 กรกฏาคม 2560

ข่าวเด่นวันที่ 26 - 27 กรกฏาคม 2560

วันที่นำเข้าข้อมูล 27 ก.ค. 2560

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 7 ก.พ. 2564

| 1,250 view

ข่าววันที่ 26 – 27 กรกฏาคม 2560

1. ไอศกรีมทุเรียนไทยกำลังเป็นที่นิยมในภาคใต้ของเวียดนาม

ไอศกรีมทุเรียนไทยกำลังเป็นที่นิยมในบริเวณภาคใต้ของเวียดนาม แม้ว่าไอศกรีมแท่งหนึ่งมีราคาสูงถึง 120,000 ด่ง (ประมาณ 200 บาท) ต่อหนึ่งแท่ง โดยมีผู้จัดจำหน่ายหลายรายบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยม อาทิ Facebook / Zalo และร้านจัดจำหน่ายไอศกรีมหลายแห่งในนครโฮจิมินห์

นาง Anh Thu อาศัยอยู่ในจังหวัดเบ๊นแจ ผู้เคยสั่งไอศกรีมทุเรียนไทยจากผู้จัดจำหน่ายบน Facebook เปิดเผยว่า กระแสสังคมออนไลน์ในหมู่ชาวเวียดนามกำลังต้องการลิ้มลองไอศกรีมทุเรียนไทยเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าไอศกรีมปกติ 5 – 6 เท่าก็ตาม เนื่องจากมีรูปร่าง การบรรจุภัณฑ์และรสชาติที่นาสนใจ และร้านค้าออนไลน์หลายแห่งได้ปิดรับสั่งซื้อไอศกรีมทุเรียนไทย เนื่องจากสินค้าขาดตลาด

นาง Minh Hien เจ้าของร้านจัดจำหน่ายไอศกรีมที่เขต 4 นครโฮจิมินห์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในแต่ละวัน ตนขายไอศกรีมทุเรียนไทยประมาณ 500 – 700 แท่ง สัปดาห์หนึ่งสามารถขายได้กว่า 3,000 แท่ง โดยมีราคาแท่งละ 120,000 ด่ง โดยจากความเห็นของตน มี 3 ปัจจัยที่ทำให้ไอศกรีมทุเรียนไทยเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวเวียดนาม ได้แก่ (1) รูปร่างน่ารับประทาน ดูคล้ายๆ ทุเรียนสด (2) กลิ่นหอมมันหวาน น่ารับประทาน แม้ลูกค้าบางคนไม่สามารถทานทุเรียนสดได้ แต่สามารถทานไอศกรีมทุเรียนไทยได้ และ (3) ความอยากรู้อยากลองสินค้าใหม่ๆ ของวัยรุ่นชาวเวียดนาม 

นาง Thu Thao ผู้นำเข้าไอศกรีมทุเรียนจากประเทศไทยโดยเปิดร้านจัดจำหน่ายไอศกรีมอยู่ที่เขต 10 นคร        โฮจิมินห์ กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ร้านค้าไอศกรีมต่างๆ ในนครโฮจิมินห์ได้นำเข้าไอศกรีมทุเรียนจากประเทศไทยโดยขนสินค้ามาทางเครื่องบิน ซึ่งร้านของตนนำเข้ามาครั้งละ 2 ตู้ จำนวนหลายร้อยแท่ง แต่ขายหมดในเวลา 1 – 2 วันเท่านั้น ลูกค้าส่วนใหญ่ที่นิยมรับประทานไอศกรีมทุเรียนมักจะเป็นพนักงานออฟฟิศเพศหญิง ลูกค้าหนึ่งคนมักจะซื้อไม่ต่ำกว่า 5 แท่ง และวันหนึ่งสามารถขายได้ถึง 200 – 300 แท่ง

นาง Thu Giang เจ้าของร้านจัดจำหน่ายไอศกรีมที่เขต 4 นครโฮจิมินห์ กล่าวว่า ตนเพิ่งจะนำไอศกรีมทุเรียนมาขายสู่ท้องตลาดเวียดนามได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น แต่โดยปกติแล้ว ในแต่ละวันจะขายได้มากกว่า 400 แท่ง โดยมีลูกค้านิยมซื้อปลีกและซื้อส่งเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปจัดจำหน่ายต่อ โดยสาเหตุที่ทำให้ไอศกรีมทุเรียนไทยกำลังเป็นที่นิยมเนื่องมาจากรูปร่างและการบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ ลูกค้าจำนวนมากต่างมีความต้องการอยากลองสินค้าใหม่ๆ นอกจากนั้น ลูกค้าหลายคนยังติดอกติดใจในรสชาติไอศกรีมทุเรียนไทย โดยนาง Giang เปิดเผยต่อว่า    ราคานำเข้าไอศกรีมทุเรียนไทยจากประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 60,000 – 70,000 ด่งต่อแท่ง ซึ่งยังไม่รวมค่าขนส่งทางอากาศและค่าภาษีนำเข้า

ผู้นำเข้าไอศกรีมทุเรียนไทยทุกรายเห็นพ้องว่า ในปัจจุบัน การนำเข้าไอศกรีมทุเรียนไทยจะนำมากระจายสินค้าที่นครโฮจิมินห์และส่งออกไปในบริเวณจังหวัดในภาคใต้เท่านั้น โดยยังไม่สามารถส่งไปยังกรุงฮานอยได้เนื่องจากมีค่าบริการขนส่งสินค้าสูงและใช้ระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้านาน แม้ว่าผู้บริโภคในภาคเหนือจะมีความต้องการลิ้มลองไอศกรีมทุเรียนไทยไม่น้อยก็ตาม

ที่มา สำนักข่าว Zing Vietnam วันที่ 26 กรกฏาคม 2560

URL: http://news.zing.vn/kem-mui-sau-rieng-thai-lan-di-may-bay-ve-sai-gon-ban-120000-dongque-post766011.html

 

2. นครดานังไม่แนะนำให้ลงทุนสร้างโรงแรมต่ำกว่าระดับ 3 ดาว

สำนักงานการท่องเที่ยวนครดานังไม่แนะนำให้นักลงทุนสร้างโรงแรมระดับต่ำกว่า 3 ดาว เนื่องจากความต้องการ ในการเข้าพักอยู่ในระดับต่ำและมีปริมาณมากเพียงพอแล้ว โดยแนะนำให้นักลงทุนสร้างโรงแรมในระดับ 3 ดาว  ขึ้นไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีความต้องการเข้าพักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จากสถิติของสำนักงานการท่องเที่ยวนครดานัง พบว่า ในปัจจุบัน นครดานังมีโรงแรม 617 แห่ง ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 24,000 ห้อง ในจำนวนนั้น โรงแรม 400 แห่งเป็นโรงแรมระดับต่ำกว่า 3 ดาว มีจำนวนห้องพัก 10,000 ห้อง มีอัตราเข้าพักต่ำกว่าร้อยละ 50 ในขณะที่โรงแรมอีก 217 แห่งที่มีระดับ 3 – 5 ดาว ซึ่งมีจำนวนห้องพัก 14,000 ห้องและมีอัตราเข้าพักถึงร้อยละ 75 – 80

จากสถิติของบริษัทท่องเที่ยวในนครดานังก็ชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมพักในโรงแรมระดับ 3 – 5 ดาว และนักท่องเที่ยวภายในประเทศมีความนิยมพักในโรงแรมระดับ 3 – 5 ดาวเพิ่มขึ้น

สำนักงานการท่องเที่ยวนครดานังเปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 นครดานังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้กว่า 1.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 71 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวต่างชาติ  3 ชาติแรกที่นิยมมาท่องเที่ยวในนครดานัง ได้แก่ (1) เกาหลีใต้ (2) จีน และ (3) ญี่ปุ่น โดยในจำนวนนั้น นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 91 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม 2560 จะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุด โดยในแต่ละสัปดาห์จะมีเที่ยวบินกว่า 130 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 48 เที่ยวบินจากปกติ นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องจากในเดือนกันยายน 2560 นครดานังจะมีเที่ยวบินใหม่ นครดานัง-นครโอซาก้า โดยให้บริการ 4 รอบต่อสัปดาห์

เมื่อปลายปีที่แล้ว มีการคาดการณ์ว่า นครดานังจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2560 ได้กว่า 2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 330,000 คน เมื่อเทียบกับปี 2559

ที่มา สำนักข่าว Thoi Bao Kinh Te Sai Gon วันที่ 22 กรกฏาคม 2560

URL:   http://www.thesaigontimes.vn/162757/Da-Nang-khuyen-cao-khong-xay-khach-san-duoi-3-sao.html

 

3. สายการบิน Japan Airlines จับมือกับสายการบิน Vietjet

ในวันที่ 25 กรกฏาคม 2560 สายการบิน Japan Airlines ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับสายการบิน Vietjet ในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาตลาดการบินภายในประเทศเวียดนาม สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า จากการตกลงเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้ ทั้งสองสายการบินจะร่วมกันพัฒนาเส้นทางการบินทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งสายการบิน Japan Airlines จะช่วยเหลือในการเปิดสายการบินระหว่างประเทศเวียดนาม – ญี่ปุ่น ที่สายการบิน Vietjet วางแผนไว้ เช่น จากนครดานัง เมืองญาจาง และเกาะฝู๊ก๊วก ไปยังประเทศญี่ปุ่น

ในปี 2559 สายการบิน Vietjet ครองส่วนแบ่งทางการตลาดการบินภายในประเทศเวียดนามถึงร้อยละ 41.5 ตามหลังสายการบิน Vietnam Airlines ที่ร้อยละ 42.5 เพียงเล็กน้อย ซึ่งในปีนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า สายการบิน Vietjet จะสามารถเอาชนะสายการบิน Vietnam Airlines ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ข้อท้าทายของสายการบิน Vietjet ในปัจจุบันคือการพัฒนาตลาดการบินระหว่างประเทศ ซึ่งสายการบิน Vietjet คาดหวังว่าจะสามารถสร้างรายได้จากเที่ยวบินระหว่างประเทศให้ได้ร้อยละ 40 ในอนาคตอันใกล้

ก่อนหน้านี้ สายการบิน Japan Airlines เคยทำสัญญาความร่วมมือกับสายการบิน Vietnam Airlines อย่างไรก็ตาม สัญญาดังกล่าวสิ้นสุดเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว หลังจากสายการบิน All Nippon Airways (ANA) สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นซื้อหุ้นร้อยละ 9 มูลค่ากว่า 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสายการบิน Vietnam Airlines      โดยสายการบิน ANA ได้เข้ามาช่วยยกระดับอุปกรณ์ คุณภาพบุคลากร และการบริการของสายการบิน Vietnam Airlines เป็นอย่างดี

สายการบิน Vietjet คาดหวังว่า หลังจากจับมือกับสายการบิน Japan Airlines แล้ว สายการบิน Vietjet  จะสามารถยกระดับการแข่งขันในตลาดการบินระหว่างประเทศได้เพิ่มขึ้น และสายการบิน Japan Airlines หวังว่าจะสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ในปี 2559 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 10 ล้านคนเดินทางมายังเวียดนาม (นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น 740,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปี 2558) โดยคาดการณ์ว่า ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2563

ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 25 กรกฏาคม 2560

URL: http://kinhdoanh.vnexpress.net/tin-tuc/quoc-te/japan-airlines-bat-tay-vietjet-3618129.html

 

4. บริษัท Dragon Capital วางแผนการลงทุนโครงการการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในนครเกิ่นเทอ

นาย Gavin Smith ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาพลังงานสะอาดของบริษัท Dragon Capital สัญชาติเวียดนาม กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมจะลงทุนในโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในนครเกิ่นเทอ มูลค่าการลงทุนประมาณ 1 ล้านล้านด่ง (ราว 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ในการประชุมระหว่างคณะผู้บริหารนครเกิ่นเทอกับคณะผู้บริหารบริษัทฯ ผู้บริหารบริษัทฯ แจ้งว่า บริษัทฯ ต้องการลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในนครเกิ่นเทอ ซึ่งบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการลงทุนมาแล้วในประเทศอื่นๆ และวางแผนพัฒนาพื้นที่โรงงานพลังงานในระยะแรก 40-50 เฮกตาร์ ซึ่งสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 40 MW และในระยะที่ 2 สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 100 MW โดยโครงการจะเริ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2561 และแล้วเสร็จในปี 2562 และบริษัทฯ ได้วางแผนระยะที่ 3 หากนครเกิ่นเทอจัดสรรหาที่ดินไว้ให้บริษัทฯ เพื่อการพัฒนาโครงการได้ในอนาคต

นาย Smith กล่าวว่า บริษัทที่ปรึกษาของบริษัทฯ จะเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการในเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งนาง Vo Thi Hong Anh รองประธานคณะกรรมการประชาชนนครเกิ่นเทอได้มอบหมายให้ สำนักงานการก่อสร้างและการวางแผนการลงทุนนครเกิ่นเทอ ให้ข้อมูลที่ดินในการวางแผนการลงทุนแก่นักลงทุน

นาย Smith ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีประสบการการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย กัมพูชา และลาว และมีส่วนร่วมในการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในเวียดนามหลายแห่ง ทั้งนี้ บริษัทฯ พัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ความจุ 29 MW ในประเทศไทยให้แล้วเสร็จในปีเดียว และบริษัทฯ มีแผนการระยะยาวในการลงทุนกว่า 2 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนในเวียดนาม

ที่มาหนังสือพิม The Saigon Times Daily วันที่ 26 กรกฎาคม 2560 หน้า 1

*****************************************************

ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์