ข่าวเด่นวันที่ 21 – 22 กันยายน 2560

ข่าวเด่นวันที่ 21 – 22 กันยายน 2560

วันที่นำเข้าข้อมูล 22 ก.ย. 2560

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 1,171 view

ข่าวเด่นวันที่ 21 – 22 กันยายน 2560

1. การโอนเงินต่างประเทศมายังนครโฮจิมินห์ในปี 2560 มีแนวโน้มลดลง

แม้ว่าปริมาณเงินที่โอนจากต่างประเทศมายังนครโฮจิมินห์ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 แต่คาดการณ์ว่า ในปีนี้การโอนเงินจากต่างประเทศมายังนครโฮจิมินห์อาจลดลง เป็นผลมาจากนโยบายระบบเพิ่มเงินทุนสำรอง (Federal Reserve System) ของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank - Fed)

นาย Nguyen Hoang Minh รองผู้อำนวยการธนาคารแห่งชาติเวียดนาม (State Bank of Vietnam - SBV) สาขานครโฮจิมินห์ กล่าวว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 มีเงินโอนจากต่างประเทศเข้ามายังนครโฮจิมินห์มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 โดย 6 เดือนแรกของปี 2560 เงินโอนจากต่างประเทศเข้ามายังนครโฮจิมินห์มีมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในจำนวนนั้นร้อยละ 60 มาจากสหรัฐอเมริกา และร้อยละ 19 มาจากยุโรป ซึ่งโดยปกติแล้วการโอนเงินเข้าในเดือนธันวาคม 2560 จะมีมูลค่ามากที่สุด อย่างไรก็ตามนาย Minh กังวลว่าในปีนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น

การโอนเงินจากต่างประเทศมายังเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553 และสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 แต่ลดลงร้อยละ 33 ในปี 2559 ซึ่งสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศในเวียดนาม

ผู้เชี่ยวชาญด้านการโอนเงินต่างประเทศ วิเคราะห์ว่า แนวโน้มของการโอนเงินกลับประเทศเวียดนามค่อนข้าง   ชลอตัว เนื่องจากอัตราการแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นศูนย์ ซึ่งสามารถทำกำไรหรือรายได้จากการออมได้น้อยมาก ส่วนการโอนเงินเข้าของเงินฝากในต่างประเทศนั้นลดลงเช่นกัน โดยมีการโอนเงินกลับมาให้ครอบครัวและญาติพี่น้องของในเวียดนามน้อยลง นอกจากนี้ หลายปีที่ผ่านมา ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ในต่างประเทศ  ดังนั้น ความผันผวนของอุตสาหกรรมนี้จึงมีผลกระทบต่อการตัดสินใจโอนเงินกลับมาซื้อที่ดินในเวียดนาม

การโอนเงินจากต่างประเทศเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยชดเชยการขาดดุลทางการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลดีต่อเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเวียดนาม อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทางการตลาดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจและนักลงทุนระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ส่งผลต่อการชะลอตัวของการโอนเงินไปยังต่างประเทศ

เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Janet Yellen ประธาน Fed กล่าวว่า Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสามครั้งในปี 2561 คาดว่าอัตราแลกเงินด่งกับเงินดอลลารร์สหรัฐจะเปลี่ยนแปลงใน 4 หรือ 5 เดือนข้างหน้า และจะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่การเติบโตจะค่อยเป็นค่อยไปและมีการควบคุมโดย SBV ซึ่งจะส่งผลต่อการโอนเงินจากสหรัฐฯ มาที่เวียดนาม

ไม่เพียงแต่เวียดนามเท่านั้น ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในโลกทราบถึงการลดลงของการโอนเงินต่างประเทศเช่นกัน โดยตามรายงานล่าสุดของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีการไหลเข้าของการโอนเงินจากต่างประเทศสูงที่สุดในปี 2558 แต่เม็ดเงินทีไหลเข้าเหล่านี้ลดลงร้อยละ 5 ในปี 2559 เช่นเดียวกับ บังคลาเทศ ปากีสถาน และศรีลังกา ที่มีรายงานว่า มีการโอนเงินกลับประเทศในปี 2555 ลดลงร้อยละ 3.5 5.1 และ 1.6 ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทางการเงิน กล่าวว่า ในเวียดนามที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็นศูนย์ อาจไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้การโอนเงินเข้าประเทศลดลง

บริษัท Saigon Securities Incorporation (SSI) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของเวียดนาม กล่าวว่า นโยบายของ SBV ที่รักษาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็นศูนย์ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นนโยบายที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์และเงินด่ง

ที่มา สำนักข่าว Vietnambreakingnews วันที่ 18 กันยายน 2560 

URL : https://m.vietnambreakingnews.com/2017/09/overseas-remittances-under-downward-pressure/

 

2. กระแสการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในภาคใต้และภาคกลางของเวียดนาม

ดร. Nguyen Trong ที่ปรึกษาสมาคมคอมพิวเตอร์ นครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City Computer Association; HCA) และอดีตหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ กล่าวในงานสัมมนา Smart City 360 ที่นครโฮจิมินห์ว่า ทุกๆ ฝ่ายต้องช่วยกันกำหนดความหมายคำว่า “เมืองอัจฉริยะ” กับ “เมืองทันสมัย” ให้แยกออกจากกัน โดยในปัจจุบัน ในโลกมีเมืองที่ทันสมัยเป็นจำนวนมาก หลักๆ อยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเมืองต่างๆ เรานั้นต่างใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้บริการประชาชน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเมืองใดเป็นเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง และประชาชนต้องยินยอมที่จะจ่ายเงินเพื่อแลกกับบริการที่เพิ่มขึ้นด้วย

ปัจจุบัน จังหวัดต่างๆ ในภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม อาทิ นครโฮจิมินห์ จังหวัดบิ่นห์เยือง จังหวัด          บ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า นครดานัง และจังหวัดคั้นหว่า ต่างริเริ่มแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะตามรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น จังหวัดบิ่นห์เยืองใช้แผนการพัฒนาเมืองในรูปแบบเดียวกับการสร้างเมืองของประเทศเนเธอร์แลนด์ จังหวัดคั้นหว่าเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวอัจฉริยะ และนครโฮจิมินห์ เน้นบริการออนไลน์ของภาครัฐ การสร้างเครือข่ายสังคมอัจฉริยะ และการพัฒนาภาคเอกชน ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร. Nguyen Ky Phung รองผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นครโฮจิมินห์ ยอมรับว่า ในปัจจุบัน แผนการดังกล่าวสามารถพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น

ดร. Nguyen Quang Thanh ผู้อำนวยการสำนักงานสารสนเทศ นครดานัง เปิดเผยว่า ปัจจุบัน นครดานังกำลังพัฒนาเมืองอัจฉริยะตามรูปแบบที่ได้ศึกษาดูงานจากเมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน โดยเน้นการพัฒนาความปลอดภัยอัจฉริยะทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ (1) ความมีระเบียบวินัย (2) ความปลอดภัยในการจราจร (3) ความปลอดภัยของอาหาร และ (4) ความปลอดภัยของสังคม

ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 21 กันยายน 2560

URL: https://kinhdoanh.vnexpress.net/tin-tuc/vi-mo/de-xuat-nguoi-dan-tra-tien-de-mua-them-dich-vu-thong-minh-3644277.html

 

3. ปัญหาไกด์ทัวร์จีนผิดกฎหมายในนครดานังและบริษัท Traveloka

ในวันที่ 20 กันยายน 2560 บริษัทท่องเที่ยวเวียดนามกว่า 200 บริษัท ยื่นหนังสือถึงสำนักงานการท่องเที่ยวในนครดานัง ถึงการกระทำผิดของไกด์ทัวจีนที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายในนครดานัง ซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมา

หนังสือดังกล่าวระบุว่า ไกด์ทัวร์จีนแฝงตัวมาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว แต่เข้ามาทำอาชีพไกด์อย่างผิดกฎหมายในเวียดนาม ซึ่งไกด์ทัวร์ดังกล่าวอาจจะไม่ได้มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในนครดานังอย่างถ่องแท้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศเวียดนาม ทำให้คนในชาติสูญเสียรายได้ รวมถึงความมั่นคงของประเทศชาติได้ จึงเรียนขอให้สำนักงานฯ เพิ่มมาตรการต่างๆ ในการตรวจสอบดูแลปัญหาดังกล่าวให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก

ตัวแทนของสำนักงานฯ เปิดเผยว่า สำนักงานฯ ได้พยายามตรวจสอบและดูแลการท่องเที่ยวอย่างรัดกุมมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะพยายามทำงานให้หนักขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สำนักงานฯ พบผู้กระทำความผิดในการท่องเที่ยว 93 ราย ปรับเงินกว่า 767 ล้านด่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในจำนวนดังกล่าว เป็นการกระทำผิดของชาวต่างชาติ 11 ราย เป็นชาวไต้หวัน 1 ราย ชาวจีน 2 ราย และชาวเกาหลีใต้ 8 ราย

ในปัจจุบัน สำนักงานฯ ให้ใบอนุญาตไกด์ทัวร์ชาวเวียดนามที่สามารถพูดภาษาจีนได้ 623 ราย โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 280,000 คน เดินทางมานครดานัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท Traveloka บริษัทการจองเที่ยวบินและโรงแรมชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ทำบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวนครดานังและสำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัด เถื่อเทียน-เว้ โดยทั้งสองหน่วยงานจะช่วยสนับสนุนบริษัทฯ ในด้านการเผยแพร่สื่อของบริษัทฯ ในช่องทางการส่งเสริมการขายทุกช่องทาง และให้คำแนะนำแก่บริษัทฯ เกี่ยวกับวิธีการดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ในขณะเดียวกันบริษัทฯ จะหาแนวทางในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของทั้งสองจังหวัดผ่านการตลาดแบบออนไลน์

ตามรายงานของสำนักงานการท่องเที่ยวท้องถิ่น ระบุว่า นครดานังมีนักท่องเที่ยว 3.3 ล้านคนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.2 เมื่อเทียบเป็นรายปี และคิดเป็นร้อยละ 51.3 ของเป้าหมายในปี 2560 ในขณะที่จังหวัดเถื่อเทียน-เว้ มีนักท่องเที่ยวประมาณ 1.7 ล้านคนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 76.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.73 ล้านล้านด่ง)

บริษัท Traveloka มีข้อตกลงกับโรงแรม 300,000 แห่ง ใน 28 ประเทศ และดำเนินงานร่วมกับสายการบินมากกว่า 100 สายการบิน และเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางต่างๆมากกว่า 200,000 เส้นทางทั่วทวีปเอเชียแปซิฟิกและทวีปยุโรป อีกทั้งยังมีช่องทางการชำระเงินมากกว่า 40 รูปแบบให้แก่ลูกค้าในอินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีศูนย์บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศต่างๆ และยังมีแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่มีการดาวน์โหลดแล้วมากกว่า 20 ล้านครั้งด้วย

ที่มา สำนักข่าว Zing วันที่ 20 กันยายน 2560

URL: http://news.zing.vn/huong-dan-vien-trung-quoc-tung-hoanh-tai-da-nang-post781002.html

 

4. ความน่ากลัวของทางเท้าในนครโฮจิมินห์และแผนการลดความแออัดบนท้องถนน

ทางเท้าในนครโฮจิมินห์เป็นทางเท้าที่วุ่นวายที่สุดในโลกซึ่งผู้สัญจรบนทางเท้าไม่สามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก และด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น และบางครั้งน้ำท่วม ทำให้การเดินของผู้สัญจรบนทางเท้าต้องใช้พละกำลังมาก ไม่เพียงแต่รถมอเตอร์ไซต์ที่มักจะขึ้นมาขับบนทางเท้า แต่ยังมีการขายอาหาร เครื่องดื่ม และรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้อยู่บนทางเท้าอีกด้วย ทำให้ผู้สัญจรไปต้องลงไปเดินบนถนน

ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Stanford พบว่า ชาวเวียดนามเป็นกลุ่มคนที่มีความต้องการที่จะเดินน้อยที่สุดในโลก คนเวียดนามเดินเพียงวันละ 3,600 ก้าวโดยประมาณ ในทางตรงกันข้าม คนฮ่องกงเดินประมาณวันละ 6,880 ก้าว ขณะที่ประเทศจีนอยู่ที่ 6,189 ก้าวต่อวัน (ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 5,000 ก้าวต่อวัน) โดยจากการสำรวจ พนักงานออฟฟิศในนครโฮจิมินห์ส่วนใหญ่เดินประมาณวันละ 600 ก้าวเท่านั้น

นาย Le Van Khoa รองประธานคณะกรรมการประชาชนของนครโฮจิมินห์กล่าวในการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ว่า ในขณะที่การเดินในประเทศอื่นๆ เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่ในนครโฮจิมินห์นั้น แม้ระยะทางเพียงแค่ 100 เมตร ผู้คนเลือกที่จะใช้รถจักรยานยนต์

ในปัจจุบัน นครโฮจิมินห์มีผู้มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์จำนวน 7.6 ล้านใบ จากผู้สมัครขอรับใบอนุญาต 8.4 ล้านคน และมีรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นทุกวันมากกว่า 800 คัน โดยถนนในนครโฮจิมินห์มีความหนาแน่นเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยของประเทศ ส่งผลให้รถจักรยานยนต์จำนวนมากต้องขึ้นมาขับขี่บนทางเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งรีบ

นอกจากนี้ นครโฮจิมินห์ยังมีปัญหาเรื่องที่จอดรถยนต์ เพราะ ในนครโฮจิมินห์มีรถยนต์มากกว่า 700,000 คัน แต่มีพื้นที่จอดรถที่สามารถจอดได้ไม่ถึงร้อยละ 14 อีกทั้งโครงการก่อสร้างที่จอดรถขนาดใหญ่ที่สุดใจกลางเมืองยังขาดงบประมาณสนับสนุน

ทั้งนี้ สำนักงานการขนส่งนครโฮจิมินห์และบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation Technology Development Corporation) กำลังร่วมกันวางแผนดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากรถยนต์ในเขตตัวเมือง และแผนดังกล่าวจะถูกเสนอให้คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์พิจารณาต่อไป รวมถึงการสร้างถนนวงแหวนใจกลางเมืองและสร้างศูนย์ควบคุมและจุดเก็บค่าธรรมเนียมอัตโนมัติ 36 จุด ขั้นตอนที่สองจะมีการพัฒนาจุดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม 39 จุด ในปี 2562

บริษัทฯ ได้เสนอแนวทางการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 3 แนวทาง ในช่วงเวลาตั้งแต่เวลา 6.00 น. ถึง 17.00 น. แนวทางที่ 1 บริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 40,000 ด่งต่อครั้งสำหรับรถยนต์ รถแท็กซี่ และรถที่มีจำนวนที่นั่งต่ำกว่า 9 ที่นั่ง แนวทางที่ 2 รถยนต์และรถแท็กซี่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเท่าเดิม แต่รถบรรทุกและรถที่มีจำนวนที่นั่งมากกว่า 9 ที่นั่ง ต้องจ่าย 50,000 ด่ง และแนวทางที่ 3 จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30,000 ด่ง สำหรับรถแท็กซี่ ส่วนรถยนต์ทั่วไป รถที่มีจำนวนที่นั่งน้อยกว่า 9 ที่นั่ง และรถทัวร์จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 40,000 ด่ง และมีตัวเลือกเพิ่มเติมคือ ค่าธรรมเนียมจะถูกเรียกเก็บในช่วงเวลาตั้งแต่ 6.00 น. ถึง 9.00 น. และจาก 16.00 น. ถึง 19.00 น. ซึ่งอาจนำไปใช้ในระยะแรกของการดำเนินการ โดยแผนนี้จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.66 ล้านล้านด่ง (73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากแผนก่อนเดิมที่เคยเสนอในมูลค่าเงินลงทุน  1.2 ล้านล้านด่ง (ประมาณ 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ )

ทั้งนี้ สำนักงานยุติธรรม นครโฮจิมินห์ (The HCMC Department of Justice) และสำนักงานการขนส่ง นครโฮจิมินห์ ยังอยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของแผนดังกล่าว โดยบางส่วนเห็นว่าเป็นภาระสำหรับชาวเวียดนามมากไป อีกส่วนเห็นว่าอาจเกิดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียม โดยหากได้รับอนุมัติ จะเริ่มใช้แผนการได้ในปี 2563

ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times Daily วันที่ 19 กันยายน 2560 หน้า 2

********************************************

ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์