ข่าวเด่นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560

ข่าวเด่นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560

วันที่นำเข้าข้อมูล 1 พ.ย. 2560

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565

| 1,092 view

ข่าวเด่นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560

1. นครโฮจิมินห์ควรจะสร้างรถไฟฟ้ายกระดับเชื่อมต่อกับสนามบินนานาชาติ Tan Son Nhat และความเคลื่อนไหวล่าสุดของโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินหมายเลข 1

สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการคมนาคม (The Institute of Transport Science and Technology; ITST) ได้เสนอแผนการสร้างรถไฟฟ้ายกระดับเชื่อมต่อกับสนามบินนานาชาติ Tan Son Nhat ให้สำนักงานคมนาคมและการขนส่งนครโฮจิมินห์พิจารณา เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในบริเวณดังกล่าว

ITST เสนอว่า นครโฮจิมินห์ควรจะพิจารณาการสร้างรถไฟฟ้ายกระดับ 2 สายเชื่อมต่อกับสนามบินฯ โดยสายที่หนึ่งเริ่มตั้งแต่บริเวณสวนสาธารณะ Gia Dinh ในเขต Go Vap และสายที่สองเริ่มตั้งแต่สวนสาธารณะ  Van Thu ในเขต Tan Binh เพื่อที่จะแก้ไขการจราจรในบริเวณสนามบินที่มีสภาพการจราจรติดขัดอย่างมาก นอกจากนั้น นครโฮจิมินห์ควรจะสร้างที่จอดรถยนต์ใต้ดินที่สามารถรองรับรถยนต์ได้ 2,000 คัน เพื่อรองรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าในบริเวณสวนสาธารณะ Gian Dinh ด้วย

คาดการณ์ว่า หากแผนการดังกล่าวได้รับการอนุมัติ นครโฮจิมินห์จะต้องใช้เงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / กิโลเมตร สำหรับรถไฟฟ้ายกระดับ 1 สาย และ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับรถไฟฟ้ายกระดับ 2 สาย และจะใช้ระยะเวลากว่า 18 เดือนในการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตาม นาย Ha Ngoc Truong ตัวแทนสมาคมทางยกระดับ ถนน และท่าเรือนครโฮจิมินห์ กล่าวว่า ข้อเสนอของ ITST เป็นข้อเสนอที่มีต้นทุนสูงและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และจะทำให้บริเวณสวนสาธารณะ Hoang Van Thu และ Gia Dinh ประสบปัญหาการจราจรติดขัดแทน ซึ่งผู้สัญจรในบริเวณดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ได้ใช้บริการสนามบินฯ ดังนั้น นครโฮจิมินห์ควรจะมีมาตรการใหม่ๆ มารองรับผู้สัญจรไปมาเหล่านั้น อาทิ การสร้างถนนตัดเข้าไปยังสนามบินใหม่ การสร้างทางยกระดับเชื่อมต่อกับถนนหลายเส้น และการสร้าง Cable Car

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการกล่าวถึงประเด็นที่มาของเงินทุนซึ่งล่าสุด นครโฮจิมินห์ได้สั่งระงับและทบทวนโครงการลงทุนในลักษณะ Build – Transfer (BT) ทั้งหมดที่ค้างคาจำนวน 130 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรอแผนการใหม่ที่จะพัฒนาพื้นที่ในนครโฮจิมินห์ให้ใช้สอยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นและรองบประมาณในการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน

นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Nguyen Thanh Phong ประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ได้อนุมัติให้ใช้งบประมาณของนครโฮจิมินห์จำนวน 51.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจ่ายให้กับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างชาวญี่ปุ่น ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสาย 1 ช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม ตามข้อเรียกร้องของคณะกรรมการบริหารจัดการรถไฟฟ้าในตัวเมือง (Management Authority of Urban Railways; MAUR) เนื่องจากรัฐบาลยังไม่จัดสรรงบประมาณจากส่วนกลาง (Official Development Assistance; ODA) ที่ได้รับจากญี่ปุ่น ทำให้เสี่ยงต่อการถูกปรับเงินตามสัญญาก่อสร้าง

จากรายงานของ MAUR ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2560 นครโฮจิมินห์จำเป็นต้องใช้งบประมาณกว่า 239.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน นครโฮจิมินห์เพิ่งจะชำระเงินให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างเพียง 93.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 36 เท่านั้น และเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่นครโฮจิมินห์ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าในขณะที่รอการจัดสรรงบประมาณ ODA จากส่วนกลาง โดยในปี 2560 นครโฮจิมินห์ได้จ่ายเงินล่วงหน้าให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างแล้วกว่า 26.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฏาคม 2560 ผู้รับเหมาก่อสร้างหลายรายในโครงการพัฒนารถไฟฟ้าใต้ดินได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์เพื่อขอระงับ/ชะลอการก่อสร้างเนื่องจากยังไม่ได้รับเงินกว่า 22.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นครโฮจิมินห์ต้องจ่ายเงินจากงบประมาณของตน เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินไปได้ต่อ ซึ่ง MAUR เห็นว่าเป็นเพียงแค่วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่วิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือรัฐบาลส่วนกลางจัดสรรงบประมาณ ODA มาสนับสนุนโครงการให้ตรงเวลา ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า โครงการรถไฟฟ้าหมายเลข 1 จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าการจัดสรรงบประมาณ ODA ที่ล่าช้าหลายครั้งอาจจะส่งผลถึงกำหนดการดังกล่าวได้

ที่มา สำนักข่าว Vietnamnet วันที่ 28 ตุลาคม 2560 และหนังสือพิมพ์ Tuoi Tre วันที่ 26 ตุลาคม 2560

URL: http://english.vietnamnet.vn/fms/society/189189/monorail-is-no-solution-to-congestion-in-airport-area---experts.html

URL: http://tuoitre.vn/tuyen-metro-ben-thanh-suoi-tien-dat-43-tien-do-20171026163503483.htm

 

2. สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว

นาย Vo Hung Dunh ผู้อำนวยการสมาคมหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามสาขานครเกิ่นเทอ กล่าวในการประชุม Mekong Delta Investment Forum ครั้งที่ 5 ว่า บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเป็นหนึ่งในบริเวณที่มีศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยมีพื้นที่ราบกว่า 40,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ชายทะเล 500 กิโลเมตร พื้นที่ภูเขา 7 แห่ง ป่าชายเลนหลายแห่ง และมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชายาวกว่า 200 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีโรงแรม 3 – 5 ดาว ประมาณ 60 แห่ง   และมี Entertainment Complex เพียงแค่ 2 แห่ง ซึ่งส่วนมากตั้งอยู่บนเกาะฟู๊ก๊วก นครเกิ่นเทอ และจังหวัดบากเลียว โดยปัจจุบัน ยังไม่มีศูนย์การค้าและศูนย์การท่องเที่ยวขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด ดังนั้น บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงยังคงต้องการเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว

นาย Truong Quang Hoai Nam รองประธานคณะกรรมการประชาชนนครเกิ่นเทอ กล่าวในที่ประชุมว่า ปัจจุบัน บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงยังขาดเอกลักษณ์และผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่น เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ มีความคล้ายคลึงกันมากเกินไป และเสนอให้บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงพัฒนาการท่องเที่ยวทางน้ำ ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าในการท่องเที่ยวในบริเวณดังกล่าวได้เป็นจำนวนมหาศาล และสนามบินนครเกิ่นเทอ ซึ่งเป็นสนามบินภาคพื้นดินแห่งเดียวในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงควรเชื่อมต่อด้านการคมนาคมทางอากาศกับเมืองต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าปัจจุบันมีเที่ยวบินเชื่อมต่อกับ 4 เมืองเท่านั้น ได้แก่ กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ เกาะฟู๊ก๊วก และเกาะกอนด๋าว

นอกจากนั้น สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีจำกัดและอาหารมีความคล้ายคลึงกันทำให้ยังไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้

ในการประชุมดังกล่าว ภาคเอกชนหลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงยังรอคอยการพัฒนาด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ อาทิ ประเทศไทยและเมียนมา

ในปี 2559 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง 28 ล้านคน โดยในจำนวนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.5 ล้านคน มีนักท่องเที่ยวค้างคืนกว่า 8.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9 แสนคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 666 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปีเดียวกัน รัฐบาลได้อนุมัติแผนแม่บทในการพัฒนาการท่องเที่ยวในบริเวณดังกล่าว โดยคาดว่าบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ 35 ล้านคน มีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2563

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 จังหวัดในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ 21 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ปัจจุบัน จังหวัดในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกำลังเรียกร้องให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวจำนวน 33 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 346 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม การเกษตร เครื่องจักรออโตแมติก วิศวะ การแปรรูป และโลจิสติกส์ จำนวน 45 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจุบัน มีนักลงทุนต่างประเทศได้แสดงความสนใจและกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน อาทิ นักลงทุนจากประเทศดูไบและเกาหลีใต้ต้องการลงทุนในโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และนักลงทุนชาวญี่ปุ่นต้องการลงทุนสร้างฟาร์มปลูกผลไม้เพื่อส่งออกและบริษัททัวร์มาตรฐาน 5 ดาวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

ที่มา หนังสือพิมพ์ Sai Gon Giai Phong วันที่  25 ตุลาคม 2560

URL: www.sggp.org.vn/dbscl-moi-goi-dau-tu-78-du-an-tri-gia-hang-ngan-ty-dong-477882.html

 

3. นครโฮจิมินห์เปิดตัวบริการการท่องเที่ยวเชิงทันตกรรม

เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 ภาคเอกชนในธุรกิจทันตกรรมและการท่องเที่ยวได้ร่วมกันเปิดตัวบริการการท่องเที่ยวเชิงทันตกรรม ซึ่งจะเป็นบริการที่ผสมผสานระหว่างการให้บริการทางทันตกรรมกับการท่องเที่ยว ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยรอบ นครโฮจิมินห์ อาทิ ทะเลทรายมุยแหน และจังหวัดในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงทันตกรรมของเวียดนาม (Vietnam Dental Tourism Organization) ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลทันกรรมนครโฮจิมินห์ (HCMC Hospital of Odonto - Somatology) เปิดตัว 3 แพ็กเกจการท่องเที่ยวเชิงทันตกรรมที่มีราคาตั้งแต่ 1 - 70 ล้านด่ง โดยให้บริการการตรวจสอบสภาพฟัน การ X – Ray ฟัน การขัดฟันขาว และการเสริมรากฟัน นอกจากนั้น ยังมีบริการเสริมรากฟันด้วยเทคโนโลยีระดับสูงที่มีราคากว่า 200 ล้านด่งอีกด้วย

นาย Vo Van Nhan ผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรม Nhan Tam กล่าวว่า ในช่วงแรก กลุ่มฯ ตั้งเป้าให้บริการด้านทันตกรรมที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 30 นาที และมีแผนการให้บริการที่ใช้ระยะเวลาเพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคต โดยคลินิกทันตกรรมต่างๆ ในนครโฮจิมินห์มีศักยภาพเพียงพอที่จะดำเนินการรักษาโรคทางทันตกรรมที่ซับซ้อน อาทิ การปลูกถ่ายรากฟัน / เหงือก และการฝังรากเทียม

กลุ่มฯ มีเครือข่ายคลินิกทันตกรรมและโรงพยาบาลด้วยกันทั้งหมด 14 แห่ง มีผู้ใช้บริการกว่า 250,000 คนต่อปี โดยในจำนวนนั้นร้อยละ 25 เป็นชาวต่างชาติและชาวเวียดนามโพ้นทะเล โดยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายเครือข่ายคลินิกและโรงพยาบาลให้ได้ 50 แห่ง ซึ่งจะสามารถรองรับผู้ใช้บริการกว่า 850,000 คน และในปี 2563 ขยายเป็น 56 แห่ง และรองรับผู้ใช้บริการกว่า 3.5 ล้านคน

นอกจากนั้น กลุ่มฯ ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเอกชนในนครโฮจิมินห์เพื่อให้บริการด้านการท่องเที่ยวในนครโฮจิมินห์ รวมถึงจังหวัดเตี่ยนยาง ทะเลทรายมุยแหน และที่อื่นๆ โดยภาคธุรกิจการท่องเที่ยวยังให้ความเห็นว่า กลุ่มฯ ควรจะมีบริการทำความสะอาดฟันแบบเร่งด่วนในขณะที่นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการทัวร์รอเช็คอินเข้าที่พัก เพราะจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่มักจะเดินทางมาถึงนครโฮจิมินห์ในช่วงเช้าตรู่และรอเช็คอินเข้าที่พักเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง

นาย Phan Kim Ngoc ผู้อำนวยการบริษัท AMICA Travel สาขานครโฮจิมินห์ กล่าวว่า ในปัจจุบัน บริษัทฯให้บริการเสริม อาทิ นวดและทำเล็บ ให้กับลูกค้าของตนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และคาดว่า ในอนาคต บริษัทฯ จะสามารถจับมือกับคลินิกทันตกรรมต่างๆ เพื่อให้บริการทำความสะอาดฟันในราคาย่อมเยาแก่ลูกค้า

ทั้งนี้ มีการตั้งเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเชิงทันตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีศักยภาพมากที่สุด และจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างมากในอนาคตอันใกล้

ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times วันที่ 30 ตุลาคม 2560 หน้า 2

 

4. นครโฮจิมินห์ไม่อนุญาตให้ Uber และ Grab รับสมัครพนักงานขับรถเพิ่ม

นาย Tran Vinh Tuyen รองประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ได้สั่งการให้สำนักงานคมนาคมและการขนส่งนครโฮจิมินห์ แจ้งไปยังบริษัทผู้ให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะของเอกชน เช่น Uber และ Grab ว่าไม่อนุญาตให้รับสมัครพนักงานขับรถรายใหม่หรือลงทุนซื้อรถยนต์ใหม่จนกว่าจะมีคำสั่งจากกระทรวงคมนาคมและการขนส่ง เนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์การจราจรภายในตัวเมืองนครโฮจิมินห์กำลังเข้าขั้นวิกฤต และอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนยานพาหนะสูงขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนั้น คณะกรรมการประชาชนฯ ได้สั่งการให้สำนักงานคมนาคมและการขนส่งนครโฮจิมินห์ รีบดำเนินการจัดทำแผนงานแก้ไขปัญหาสภาพการจราจรติดขัดภายในนครโฮจิมินห์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและรายงานกระทรวงคมนาคมและการขนส่งโดยเร็ว เพื่อของบประมาณในการบริหารจัดการการคมนาคมในนครโฮจิมินห์เพิ่มเติม

ทั้งนี้ คณะกรรมการประชาชนฯ ได้สั่งการไปยังสำนักงานสรรพากร นครโฮจิมินห์ ให้ร่วมมือกับสำนักงานการคลังนครโฮจิมินห์ และสำนักงานคมนาคมและการขนส่งนครโฮจิมินห์ จัดทำแผนการจัดเก็บภาษีสำหรับผู้ให้บริการรถยนต์สาธารณะของ Grab และ Uber ซึ่งปัจจุบัน ยังไม่มีมาตรการจัดเก็บภาษีต่อผู้ให้บริการ เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของผู้ให้บริการรถแท็กซี่สาธารณะ อาทิ รถแท็กซี่สาธารณะ ที่กล่าวหาว่าผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ Grab และ Uber ได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าตน

ตามแผนการพัฒนาเส้นทางคมนาคมของนครโฮจิมินห์จนถึงปี 2563 ได้จำกัดจำนวนรถแท็กซี่ในนครโฮจิมินห์ไม่ให้เกิน 12,700 คัน อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจทางหลวงนครโฮจิมินห์ รายงานว่า ในช่วงที่ผ่านมา จำนวนรถยนต์ที่ให้บริการรถยนต์สาธารณะของ Grab และ Uber เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานการณ์การจราจรติดขัด

ที่มา หนังสือพิมพ์ Thanh Nien วันที่ 25 ตุลาคม 2560

URL: https://thanhnien.vn/kinh-doanh/tphcm-yeu-cau-uber-grab-tam-ngung-ket-noi-xe-moi-893574.html

*********************************************

ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์