วันที่นำเข้าข้อมูล 15 ธ.ค. 2560
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 27 พ.ย. 2565
ข่าวเด่นวันที่ 14 – 15 ธันวาคม 2560
ในระหว่างการประชุมสภาประชาชนนครโฮจิมินห์ชุดที่ 9 ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 4 – 7 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งได้หารือเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการพิเศษในการบริหารงบประมาณของนครโฮจิมินห์ในปี 2561 โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี ตามที่ได้รับการอนุมัติจากมติหมายเลข 54 จากสภาแห่งชาติเวียดนามเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ได้ประกาศเป้าหมายในการพัฒนา GDP ของนครในปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 8.3 – 8.5
นาย Nguyen Thien Nhan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นครโฮจิมินห์ได้ย้ำในที่ประชุมว่า มาตรการนำร่องดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2561 แต่อย่างไรก็ดี การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ หรือการเพิ่มภาษีสินค้าพิเศษบางชนิดเป็นมาตรการนำร่อง เช่น ภาษีสุรา ภาษีเบียร์ ภาษียาสูบ และภาษีสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการร่างแผนการและศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินนโยบายต่างๆ ส่งให้ทางคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ ตรวจสอบและอนุมัติใช้จริงภายในเดือนมิถุนายน 2561
นาย Nhan กล่าวเสริมว่า ในช่วงปี 2560 พรรคคอมมิวนิสต์สาขานครโฮจิมินห์ คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ สภาประชาชนนครโฮจิมินห์ และทุกภาคส่วนได้ร่วมกันปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของนครโฮจิมินห์ นครโฮจิมินห์มีการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.25 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สามารถเก็บเงินงบประมาณเข้าภาครัฐได้กว่า 348,000 พันล้านด่ง (ประมาณ 15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 100 พันล้านด่ง (ประมาณ 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนั้น ยังสามารถบรรลุการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมได้ 17 จาก 20 ข้อที่ได้วางไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า ในปี 2561 จะผลักดันให้นครโฮจิมินห์มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 – 8.5 เก็บงบประมาณเข้าภาครัฐให้ได้ 376,000 พันล้านด่ง (ประมาณ 16 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ติดหนึ่งใน 5 ของจังหวัดที่ดัชนีการแข่งขันสูงที่สุดของประเทศ ติดหนึ่งใน 10 ของจังหวัดที่มีการปฎิรูประบบการบริหารมากที่สุดของประเทศ และติดหนึ่งใน 16 ของจังหวัดที่มีผลงานทางราชการและการบริการประชาชนมากที่สุดของประเทศ
ที่มา นิตยสาร Doanh Nhan Sai Gon ฉบับที่ 468 วันที่ 6 – 12 ธันวาคม 2560
จากการสัมมนาการส่งเสริมการลงทุนห่วงโซ่คุณค่าทางอาหารในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ณ นครเกิ่น เทอ ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เวียดนาม ร่วมกับคณะกรรมการประชาชนนครเกิ่นเทอ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา มีผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ภูมิภาคฯ มีศักยภาพในการลงทุนสำหรับการผลิตอาหารเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของโลกได้
นาย Nguyen Phuong Lam รองผู้อำนวยการหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม (Vietnam Chamber Of Commerce and Industry : VCCI) สาขานครเกิ่นเทอ ชี้ชัดว่า ภูมิภาคฯ ยังเปิดกว้างอยู่มากให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร โดยปัจจุบัน ภูมิภาคฯ มีประชากรอยู่อาศัยร้อยละ 20 ของทั้งประเทศ โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 2,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่มีกำลังซื้อ นอกจากนั้น ภูมิภาคยังส่งออกสินค้ากว่าปีละ 13 – 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 50 หรือคิดเป็นมูลค่า 6.5 – 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี เป็นสินค้าการเกษตรและผลิตพันธ์ที่แปรรูปจากการเกษตรและการประมง อาทิ ข้าว อาหารทะเล และผลไม้
นอกจากนั้น ภูมิภาคฯ ยังได้รับการยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากที่สุดในการพัฒนาการเกษตร โดยการส่งออกข้าวทั้งหมดของประเทศร้อยละ 90 มีแหล่งผลิตจากภูมิภาคฯ และสามารถส่งออกปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่กว่าปีละ 3.5 – 4 ล้านตัน/ปี ซึ่งนักธุรกิจที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในโครงการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรในภูมิภาคฯ มีจำนวนเพียง 35 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนเพียง 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
นาย Vu Ba Phu อธิบดีกรมส่งเสริมการค้า กระทรวงการค้าและการลงทุนชี้ให้เห็นว่า จังหวัดต่างๆ ในภูมิภาคฯ ให้ความสำคัญและมีนโยบายมอบสิทธิประโยชน์ในการลงทุนให้กับนักลงทุนที่สนใจ อย่างไรก็ดี การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าจากการแปรรูปการเกษตรยังมีไม่มากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สนใจลงทุนควรให้ความสำคัญ และจังหวัดต่างๆ กำลังรอคอยให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในส่วนนี้เพิ่มเติม
ทั้งนี้ นาย Oleg Marinov ที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ของสถานเอกอัคราชทูตบัลแกเรีย ให้ความเห็นว่า สถานการณ์การส่งออกสินค้าการเกษตรของเวียดนามไปยังสหภาพยุโรปกำลังประสบปัญหา เนื่องจากผลิตภัณฑ์หลายอย่างไม่ได้มาตรฐาน
ที่มา หนังสือพิมพ์ Quan Doi Nhan Dan วันที่ 12 ธันวาคม 2560
ในวันที่ 13 ธันวาคม 2560 บริษัท ATAD Steel Structure Corporation สัญชาติเวียดนาม ได้เริ่มดำเนินกิจการผลิตเหล็กสำเร็จรูปขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรม Long Khanh ในจังหวัดด่งนาย ซึ่งมีพื้นที่กว่า 15 เฮกตาร์ ใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม และมีกำลังการผลิตกว่า 8,500 ตัน/ปี มูลค่าการลงทุนรวม 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการระยะที่หนึ่ง และอีก 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการระยะที่ 2 เป็นโรงงานผลิตเหล็กสำเร็จรูปขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวของเวียดนามและเอเชียที่ผ่านมาตรฐาน LEED Gold ของสมาคม US Green Building Council (USGBC)
นาย Le Anh Thuan ผู้อำนวยการบริษัทกล่าวว่า บริษัทฯ ให้บริการผลิตสินค้าเหล็กตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงบริการให้คำปรึกษาและซ่อมแซมอาคารเหล็กและโครงสร้างเหล็กต่างๆ นอกจากนั้น นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ในปี 2547 บริษัทฯ ยังมีประสบการณ์ในการร่วมก่อสร้างตึกสูง ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การประชุม สถานีรถไฟ และสนามบิน กว่า 3,000 โครงการใน 35 ประเทศทั่วโลก ลูกค้าหลักของบริษัทฯ ในประเทศเวียดนามคือบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม โดยส่วนมากเป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกา โดยการที่บริษัทฯ ผ่านมาตรฐาน LEED Gold แสดงออกถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ
นาย Dinh Quoc Thai ประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดด่งนาย กล่าวว่า โครงการลงทุนข้างต้นจะช่วยรองรับความต้องการการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดด่งนาย รวมถึงในประเทศเวียดนามและต่างประเทศ และหวังว่าจะมีโครงการซึ่งสามารถยกระดับคุณภาพจังหวัดได้เช่นนี้อีกในอนาคต
ทั้งนี้ มีรายงานว่า บริษัทผู้ผลิตเหล็กหลายรายในภาคใต้ต่างมีแผนการเพิ่มราคาเหล็กอีก 300,000 ด่ง/ตัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคารวมมูลค่าภาษีอยู่ที่ 15.5 – 16 ล้านด่ง/ตัน สืบเนื่องจากความต้องการของตลาดประเทศจีนและราคาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเหล็กต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2560 เช่น แผ่นเหล็กซึ่งเดิม มีราคามาตรฐานในตลาดโลกเพียง 230 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ปรับราคาเพิ่มเป็น 350 ดอลลาร์สหรัฐ / ตัน และแร่เหล็กในประเทศจีนที่เคยมีราคาเพียง 60 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 70 ดอลลาร์สหรัฐ
การปรับราคาข้างต้นได้สร้างความลำบากใจให้กับผู้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยและบริษัทก่อสร้างในภาคใต้ของเวียดนาม เนื่องจากฤดูการสร้างบ้านและการซ่อมบ้านกำลังใกล้เข้ามาแล้ว โดยจากข้อมูลของสมาคมเหล็กเวียดนาม ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2560 ผู้ประกอบการค้าเหล็กภายในประเทศ สามารถผลิตเหล็กได้กว่า 17 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 และสามารถขายได้ 14.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ที่มา สำนักข่าว VN Express วันที่ 12 ธันวาคม 2560
จากรายงานของกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม เวียดนาม ชี้ให้เห็นว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 บริษัท Vietnam Beverage หนึ่งในบริษัทลูกของบริษัท Thai Beverage เป็นบริษัทเดียวที่ยื่นขอประมูลหุ้นบริษัท Sabeco มากกว่าร้อยละ 25
บริษัท Vietnam Beverage ก่อตั้งเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2560 โดยเป็นบริษัทลูกของบริษัท Vietnam F&B Alliance หนึ่งในบริษัทสาขาของบริษัท Thai Baverage ซึ่งสำนักข่าว Nikkei วิเคราะห์ว่า เหตุผลในการจัดตั้งบริษัท Vietnam Beverage คือเพื่อซื้อหุ้นในบริษัท Sabeco มาครอบครองให้มากกว่าร้อยละ 51 ทั้งนี้ ตามกฎหมายของเวียดนามแล้ว บริษัทต่างชาติจะสามารถถือหุ้นในบริษัท Sabeco ได้เพียงร้อยละ 49 เท่านั้น แต่โครงสร้างบริษัทต่างประเทศที่ลงทุนในบริษัท Vietnam Beverage มีเพียงร้อยละ 49 จึงไม่ขัดต่อกฎหมายการ ถือครองหุ้นการประมูลบริษัทรัฐวิสาหกิจของเวียดนาม
กระทรวงฯ เปิดเผยว่า จะทำการเปิดประมูลขายหุ้นบริษัท Sabeco ในวันที่ 18 ธันวาคม 2560 จำนวน 343 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 53.59 ในจำนวนหุ้นละ 320,000 ด่ง (ประมาณ 530 บาท) ในตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ โดยในครั้งนี้ หุ้นที่บริษัทต่างชาติรายอื่นสามารถซื้อได้จะเหลือเพียงร้อยละ 38.59 เท่านั้น เนื่องจากที่เหลือกว่าร้อยละ 10 ได้ถูกบริษัทต่างชาติ เช่น Heineken ซื้อหุ้นไว้ในครอบครองแล้ว
ทั้งนี้ แม้ว่ากระทรวงฯ จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แต่บริษัท ThaiBev ยังไม่ได้ชี้แจงในรายละเอียดต่างๆ และยังไม่ได้ชำระค่ามัดจำในการประมูลหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งกระทรวงฯ จะปิดการรับสมัครการประมูลภายในเวลา 16.00 น. ของวันที่ 17 ธันวาคม 2560
กระทรวงฯ คาดหวังว่าจะได้รับเงินจากการขายหุ้นได้ทั้งหมดจำนวนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 14 ธันวาคม 2560
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)