วันที่นำเข้าข้อมูล 10 ก.ค. 2561
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565
ข่าวเด่นวันที่ 2 – 6 ก.ค. 2561
1. กลุ่มบริษัท Gia Phu Singapore เตรียมลงทุนโครงการ Vung Ro Refinery & Petrochemical Complex มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดฟู้เอียน
เมื่อไม่นานมานี้ ตัวแทนกลุ่มบริษัท Gia Phu Singapore ได้เข้าพบผู้บริหารคณะกรรมการประชาชนจังหวัดฟู้เอียน เพื่อหารือในการลงทุนโครงการ Vung Ro Refinery & Petrochemical Complex มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัด ซึ่งได้ข้อสรุปว่า กลุ่มบริษัท Gia Phu Singapore ตกลงจะโอนเงินมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินโครงการ และจะเริ่มก่อสร้างโครงการทันทีเมื่อสามารถระดมเงินได้ถึงร้อยละ 50 ของมูลค่าการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงปลายปีนี้หรือช่วงต้นปีหน้า
กลุ่มบริษัท Gia Phu Singapore พร้อมด้วยบริษัท ABC International ที่เป็นหุ้นส่วนได้เริ่มวิจัยและศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม ภายหลังคณะกรรมการบริหารจัดการพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดฟู้เอียนได้ตัดสินใจยุติใบอนุญาตโครงการลงทุนดังกล่าวของบริษัท Technostart Management จากประเทศอังกฤษ ซึ่งร่วมทุนกับบริษัท Telloil จากประเทศรัสเซีย ภายหลังเกิดความล่าช้าในการจัดสรรงบประมาณในการลงทุนเป็นระยะเวลาหลายปี
โครงการ Vung Ro Refinery & Petrochemical Complex มีพื้นที่ 538 เฮกตาร์ (ยังไม่รวมพื้นที่บนพื้นผิวน้ำ) ในจำนวนนั้น พื้นที่ 404 เฮกตาร์จะเป็นพื้นที่สำหรับก่อสร้างโรงงาน ส่วนที่เหลือจะเป็นพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก Bai Goc ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนแรกเริ่มในปี 2550 อยู่เพียง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะสามารถผลิตน้ำมันได้ 4 ล้านตัน/ปี แต่หลังจากปรับเพิ่มการลงทุนหลายครั้ง ปัจจุบัน โครงการดังกล่าวจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะสามารถผลิตน้ำมันได้ 8 ล้านตัน/ปี
นอกจากการลงทุนในโครงการดังกล่าวแล้ว ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ กำลังยื่นขอใบอนุญาตในการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ 600 เฮกตาร์บนเกาะ Phuong Mai และโครงการท่าเรือน้ำลึก Nhon Hoi จังหวัด Binh Dinh ซึ่งทั้งสองโครงการมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 26 มิถุนายน 2561
2. เกษตรกรในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเลี้ยงปลาสวายเพิ่มมากขึ้นแม้ว่าราคาจะตกลงอย่างต่อเนื่อง
จากการสำรวจของสำนักงานการเกษตรในจังหวัดลองอานชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน พื้นที่เพาะเลี้ยงปลาสวายในจังหวัดมีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก และมีปริมาณปลาสวายมากเกินกว่าความต้องการ ส่งผลให้ราคาปลาสวายลดลงอย่างมาก โดยนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2560 อำเภอ Tan Thanh มีพื้นที่เพาะเลี้ยงปลาสวายอยู่ที่ 60 เฮกตาร์ แต่ปัจจุบันขยายเป็น 125 เฮกตาร์ นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า จังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่บริเวณภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีพื้นที่เพาะเลี้ยงปลาสวายเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นครเกิ่นเทอ จังหวัดเตี่ยนยาง และจังหวัดด่งท้าป
นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงและข้อท้าทายในอนาคตในกรณีที่การส่งออกไปยังต่างประเทศมีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออกไปยังจีนและฮ่องกงที่ไม่ค่อยมีความมั่นคง
นาง Vu Van Lan เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาสวายในจังหวัดลองอานกล่าวว่า เมื่อปีที่แล้ว ปลาสวายมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้เกษตรกรหลายรายมองเห็นโอกาสในการลงทุนและเปลี่ยนมาเพาะเลี้ยงปลาสวายแทนการทำเกษตรแบบเดิม ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าว/ทำการเกษตรหลายแห่งได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงปลาสวายแทน
ในช่วงต้นปี 2561 ราคาขายส่งปลาสวายอยู่ที่ 75,000 – 80,000 ด่ง (ประมาณ 105 – 112 บาท)/กิโลกรัม แต่ปัจจุบัน ราคาขายส่งลดลงเหลือเพียง 20,000 - 22,000 (30 – 34 บาท)/กิโลกรัม
ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times Daily วันที่ 27 มิถุนายน 2561 หน้า 1
3. แผนการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวแหลมก่าเมาได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี
แผนการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวแหลมก่าเมาให้กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวระดับชาติภายในปี 2573 ของคณะกรรมการประชาชนจังหวัดก่าเมาได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี โดยแผนการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ขยายตลาดการท่องเที่ยว ตลอดจนดึงดูดสายการบินตรงจากจังหวัดต่างๆ อาทิ กรุงฮานอย เกาะฟู้ก๊วก ในจังหวัดเกี่ยนยาง และเกาะกอนด๋าวในจังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า
ภายใต้แผนการดังกล่าว คณะกรรมการประชาชนจังหวัดก่าเมาจะพัฒนาท่าเรือที่จะเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ อาทิ นครโฮจิมินห์ นครเกิ่นเทอ จังหวัดห่าเตี่ยน สีหนุวิลล์ ในกัมพูชา และกรุงเทพ ประเทศไทย โดยหลายฝ่ายคาดหวังว่า พื้นที่ท่องเที่ยวแหลมก่าเมาจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึง 1 ล้านคนและ 2 ล้านคนภายในปี 2568 และปี 2573 ตามลำดับ และจะสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นจำนวน 2,000 พันล้านด่ง (87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 5,000 พันล้านด่ง (217 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2568 และปี 2573 ตามลำดับ
สำหรับการพัฒนาธุรกิจโรงแรม คาดการณ์ว่า จังหวัดจะมีโรงแรมระดับหรูหราที่มีห้องจำนวน 950 ห้อง และ 2,000 ห้อง ในปี 2568 และ 2573 ตามลำดับ โดยกลุ่มเป้าหมายจะเริ่มพัฒนาจากผู้มีรายได้ปานกลาง ไปจนถึงผู้มีรายได้สูง และนักท่องเที่ยวจะสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการการท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษ์ อาทิ ทัวร์ปีนเขา ทัวร์ทะเล ทัวร์ป่าชายเลน และทัวร์ท้องถิ่น
พื้นที่ท่องเที่ยวแหลมก่าเมาตั้งอยู่ในอำเภอ Ngoc Hien และอำเภอ Nam Can ในจังหวัดก่าเมา มีพื้นที่กว่า 20,000 เฮกตาร์
ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times Daily วันที่ 27 มิถุนายน 2561 หน้า 1
4. การประชุมเกี่ยวกับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและการแข่งขันของนครโฮจิมินห์ระหว่างปี 2558 – 2563
ในวันที่ 23 มิถุนายน 61 คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์จัดการประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวทางสำหรับการพัฒนาการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของนคร โดยมีนาย Nguyen Thien Nhan สมาชิกกรมการเมืองและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นครโฮจิมินห์เป็นประธาน
นาย Su Ngoc Anh ผู้อำนวยการสำนักงานการวางแผนและการลงทุนนครโฮจิมินห์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้ปรับใช้แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและการแข่งขันของนครโฮจิมินห์ระหว่างปี 2558 – 2563 มาแล้วเกือบ 3 ปี เศรษฐกิจของนครโฮจิมินห์ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง และได้สร้างความมั่นใจให้แก่บริษัทและนักลงทุนต่างๆ อีกด้วย โดยในปี 2558 - 2560 เศรษฐกิจของนครโฮจิมินห์มีอัตราการเติบโตถึงเฉลี่ยร้อยละ 8.2 ต่อปี อย่างไรก็ดี นครโฮจิมินห์กำลังประสบกับข้อท้าทายหลายประการ อาทิ การพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง และภาคการบริการ เริ่มมีการชะลอตัว การแข่งขันในการทำธุรกิจยังไม่สูงเท่าที่ควร การเคลื่อนย้ายเงินทุนเพิ่มขึ้นแต่ไม่ยั่งยืน ระบบการคมนาคมขนส่งยังไม่มีประสิทธิภาพ และภาพรวมการนำเข้าและส่งออกเริ่มอยู่ในภาวะชงักงันเนื่องจากไม่มีตลาดส่งออกสินค้าใหม่
นาย Nguyen Thien Nhan กล่าวว่า แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและการแข่งขันของนครระหว่างปี 2558 - 2563 ซึ่งเป็นหนึ่ง 1 โครงการนำร่องของรัฐบาล ได้ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพบุคลากรในนครเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น นครโฮจิมินห์มีทรัพยากรสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนจำนวนมาก อาทิ ที่ดิน บุคลากรชั้นนำ และความสามารถในการดึงดูดเงินลงทุน ทั้งนี้ แผนการพัฒนาต่างๆ ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะยกระดับเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจทั้งประเทศ ดังนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายเร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มองว่า นครโฮจิมินห์จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับขั้นตอนก่อนการผลิตมากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันต้องเพิ่มกำลังการผลิตโดยการใช้เทคโนโลนีการคมนาคมสื่อสาร เพิ่มการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับคุณภาพบุคลากร เร่งดึดดูดโครงการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การกระจายความหนาแน่นของประชากร วางแผนและจัดสรรทรัพยากรบุคคลและผู้เชี่ยวชาญอย่างมีคุณภาพ และมีนโยบายช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง – ย่อม ให้มากขึ้น
ดร. Luong Van Khoi จากศูนย์ข้อมูลและการวางแผนด้านสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวว่า นครโฮจิมินห์ควรวางแผนพัฒนาไปยัง 3 ด้านหลักๆ ได้แก่ การพัฒนาภาคเอกชน การปฏิรูปสถาบันและสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและแรงงานมนุษย์ เพื่อที่จะพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ นครโฮจิมินห์จะต้องมีนโยบายในการเพิ่มพลังการผลิตที่ได้ผล นอกจากนี้ ยังควรสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อนครโฮจิมินห์กับจังหวัดต่างๆ เพื่อให้สามารถใช้ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจให้มากที่สุด โดยให้นครโฮจิมินห์เป็นศูนย์กลางด้านการเงิน เทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยน ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างห่วงโซ่อุปทานสินค้าอุตสาหกรรมและการเกษตร เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งออก และช่วยให้เศรษฐกิจของนครเติบโตอย่างยั่งยืน
ที่มา หนังสือพิมพ์ Tin Tuc วันที่ 23 มิถุนายน 2561
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)