วันที่นำเข้าข้อมูล 10 พ.ค. 2560
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562
ข่าวเด่นวันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2560
1. บริษัทผลิตอุปกรณ์การประมง Siam Brothers Vietnam เตรียมตัวเข้าตลาดหุ้น HOSE
ภาพที่ 1 บริษัท Siam Brothers Vietnam
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท Siam Brothers Vietnam ซึ่งเป็นบริษัทที่มีเงินลงทุนโดยตรงจากประเทศไทยร้อยละ 100 ผลิตและค้าขายอุปกรณ์การประมงและอุปกรณ์การเกษตร มีโรงงานตั้งอยู่ที่นครโฮจิมินห์ ได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นนครโฮจิมินห์
สำนักงานตลาดหุ้นนครโฮจิมินห์ได้ประกาศว่า ตลาดหุ้นได้ยอมรับข้อเสนอซื้อขายหุ้นจำนวน 20.5 ล้านหุ้น มูลค่ามากกว่า 205 พันล้านด่งของบริษัท Siam Brothers Vietnam โดยจะขายในราคาหุ้นละ 40,000 ด่ง
บริษัท Siam Brothers Viet Nam ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2538 กลยุทธ์ที่บริษัทใช้คือเสนอราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่แพงเกินไป ให้แก่เรือประมงจับปลาบริเวณภาคใต้และภาคกลางของเวียดนาม โดยราคาสูงกว่ากว่าคู่แข่งเพียงร้อยละ 10 – 30 แต่มีคุณภาพดีกว่า โดยผลิตภัณฑ์การประมงของทางบริษัทครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศเวียดนามกว่าร้อยละ 24 สินค้าเช่นเชือกจับปลายี่ห้อ Con Ga ครองส่วนแบ่งทางการตลาดไปถึงร้อยละ 90
ในปี 2559 บริษัทมีรายได้ 508 พันล้านด่ง คิดเป็นกำไร 113 พันล้านด่ง เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 – 8 สืบเนื่องมาจากราคาค่าวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการการผลิตอุปกรณ์ของบริษัทมีราคาถูกลง นอกจากนั้น มีความต้องการสินค้าของทางบริษัทที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 บริษัทคาดหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 100 พันล้านด่ง และยอดการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 โดยบริษัทจะเปิดโรงงานการผลิตใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าร้อยละ 15 – 20 ในช่วงปีต่อไป
ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 4 พฤษภาคม 2560
2. ภาคการท่องเที่ยวนครโฮจิมินห์ขาดการสนับสนุนจากภาคบริการ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ได้เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ไปยังอำเภอ Can Gio ประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยว 3 แห่งคือ (1) รีสอร์ทเชิงนิเวศน์ Dan Xay (2) รีสอร์ทเชิงนิเวศน์ Vam Sat และ (3) ศูนย์จัดแสดงรังนกเวียดนาม นอกจากนี้ ทางการนครโฮจิมินห์ยังได้เปิดถนนสายทองสายเงินและถนนแพทย์แผนโบราณในเขต 5
นักธุรกิจและภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวรู้สึกประทับใจในความพยายามในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสร้างผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวใหม่ๆ ของคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่าแหล่งท่องเที่ยวใหม่เหล่านั้นยังไม่น่าดึงดูด หากภาคบริการยังไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น
ถนนแพทย์แผนโบราณซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่หลากหลายยังขาดจุดขายให้นักท่องเที่ยวแวะและทดลองสินค้า นอกจากนั้น ถนนสายทองสายเงินยังขาดการจัดการนักท่องเที่ยวที่ดีรวมทั้งไม่ได้เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวทำได้เพียงชมสินค้าที่ทำจากทอง เงิน และอัญมณี หรือวิธีทำเครื่องประดับแบบง่ายๆ เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่มีแหล่งผลิตสินค้าที่อยู่ที่อื่น
ทั้งนี้ ภาคเอกชนยังกล่าวว่า ถนนต่างๆ ไม่มีจุดหยุดพักสำหรับนักท่องเที่ยว ร้านค้าต่างๆ ก็เล็กและแคบ จึงเป็นการยากที่จะรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และพนักงานไม่สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ ยิ่งไปกว่านั้น ทางการนครโฮจิมินห์ควรจะสร้างห้องน้ำสาธารณะไว้บริการนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
นอกจากนั้น ภาคเอกชนยังกล่าวว่า กิจกรรมการท่องเที่ยวในอำเภอ Can Gio ยังไม่มีจำนวนจุดบริการนักท่องเที่ยวเท่าที่ควร โดยควรมีการสร้างร้านอาหารในอำเภอให้มากขึ้น เพื่อที่นักท่องเที่ยวจะสามารถลิ้มลองอาหารพื้นบ้านชนิดต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น รีสอร์ทเชิงนิเวศน์ Dan Xay รีสอร์ทเชิงนิเวศน์ Vam Sat ควรจะมีบริการการท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเบื่อ และโปรแกรมการท่องเที่ยวดังกล่าวควรจะมีกิจกรรมที่ทำให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รีสอร์ทเชิงนิเวศน์ Dan Xay รีสอร์ทเชิงนิเวศน์ Vam Sat ยังคงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่ละที่จึงควรมีบริการพิเศษที่แตกต่างกันออกไป เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ที่มา นิตยสาร Doanh Nhan Sai Gon วันที่ 5 พฤษภาคม 2560
URL: http://www.doanhnhansaigon.vn/chuyen-lam-an/san-pham-du-lich-tp-hcm-thieu-dich-vu-phu-tro/1104188/
3. การลักลอบขนทรายสร้างปัญหาใหญ่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ภาพที่ 2 การลักลอบขนทรายบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
จากผลสำรวจผู้ส่งออกอุปกรณ์การก่อสร้างหลายรายในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน ราคาขายส่งทรายพุ่งสูงขึ้นจาก 30,000 ด่ง (ประมาณ 1.32 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อ 1 คิวบิกเมตร เป็น 80,000 ด่ง (ประมาณ 3.52 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อคิวบิกเมตรเมื่อเทียบกับช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้ค้ารายหนึ่งในจังหวัดหวินห์ลองลองได้กล่าวถึงสาเหตุราคาทรายที่เพิ่มขึ้นสืบเนื่องมาจากปริมาณทรายที่มีจำกัดโดย แม้แต่ทรายที่มีคุณภาพไม่ดีก็มียอดสั่งซื้อสูงมาก
ในปัจจุบัน ราคาทรายในนครโฮจิมินห์อยู่ที่ 600,000 ด่ง (ประมาณ 26.3 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อ 1 คิวบิกเมตร โดยทรายที่มีคุณภาพไม่ดีมีราคาที่ประมาณ 530,000 ด่ง (ประมาณ 23.3 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อ 1 คิวบิกเมตร ซึ่งมีราคาผันผวนเนื่องจากมีจากจำนวนพ่อค้าคนกลางมากราย
ราคาที่สูงขึ้นทำให้มีผู้ลักลอบขนทรายและเร่งการขุดทรายมากขึ้น แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่คอยควบคุมในเรื่องดังกล่าว หนังสือพิม Tuoi Tre ได้รายงานว่า บางส่วนของแม่น้ำ Tien ในจังหวัดด่งท้าปกลายเป็นสถานที่ลักลอบขนถ่ายทรายไปยังจังหวัดอื่นๆ เป็นจำนวนมาก โดยมีเรือบรรทุกทรายจำนวนหลายลำบริเวณรอบๆ แม่น้ำดังกล่าว และมีการลักลอบขนทรายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ พ่อค้าหลายรายมีพฤติกรรมฉ้อโกงในการออกเอกสารให้กับทางเจ้าหน้าที่ภาครัฐตรวจสอบ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ทรายในเขตสามเปลี่ยมปากแม่น้ำโขงกล่าวว่า การลักลอบขนทรายที่เพิ่มขึ้นสืบเนื่องมาจากจำนวนโครงการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เคยมีมา ส่งผลให้มีตลาดรับซื้อทรายแบบผิดกฏหมายอยู่หลายแห่ง ซึ่งทรายเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในทุกๆ กระบวนการก่อสร้าง
ดร. Duong Van Ni อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอกล่าวว่า ทรายในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงใช้เวลาก่อตัวนับร้อยๆ ปี และเมื่อถูกขุดขึ้นก็จะมีส่วนที่เข้ามาทดแทนทันที อย่างไรก็ตาม การขุดทรายจากแม่น้ำในช่วงระยะเวลา 7 – 8 ปีที่ผ่านมามีปริมาณสูงมาก ทำให้ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการแทนที่ของทรายใหม่ โดยปัญหาการขาดแคลนทรายจะส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวบริเวณรอบๆ ริมแม่น้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ควรจะเข้ามาควบคุมกิจกรรมดังกล่าวอย่างจริงจังและผู้ก่อสร้างควรใช้วัตถุดิบอื่นที่สามารถใช้แทนทรายได้ เช่น การนำทรายมาผสมกับดินเพื่อลดการใช้ทราย
ที่มา หนังสือพิมพ์ Vietnam Investment Review วันที่ 5 พฤษภาคม 2560
http://www.vir.com.vn/sand-exploitation-a-grave-concern-in-vietnams-mekong-delta.html
4. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดบิ่งถ่วน จังหวัดกว๋างนาม จังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า และนครดานัง มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากในสายตาของนักลงทุน
ภาพที่ 3 Condotel ในนครดานัง
นับตั้งแต่ปี 2559 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทรีสอร์ทถูกมองว่าเป็นประเภทธุรกิจที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง มีนักลงทุนเพิ่มขึ้นหลายรายและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ยอดนิยมอย่างริมชายหาด Nha Trang และนครดานังแล้ว ยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่อื่นๆ เช่น จังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า จังหวัดบิ่งถ่วน และจังหวัดกว๋างนาม ที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นในสายตาของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัดบิ่งถ่วน นอกจากพื้นที่บริเวณทะเลทราย Mui Ne ที่นักลงทุนมองว่าเป็นสถานที่ในฝันสำหรับการลงทุนสร้างรีสอร์ทแล้ว นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ยังเลือกที่จะไปลงทุนบริเวณแหลม Ke Ga อำเภอ Ham Thuan Nam ด้วยเช่นกัน มีโครงการลงทุน Condotel ใหญ่ๆ อย่างเช่นโครงการ Tropical Ocean Resort จากกลุ่มบริษัท May Nha Be โดยมีราคาขายอยู่ที่ 612 ล้านด่งต่อห้อง และโครงการ Aloha Beach Resort ของกลุ่มบริษัท Thang Loi มีจำนวน 300 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 48 – 60 ตารางเมตร
จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยและพัฒนาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Danh Khoi A Chau (DKRA) ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทวิลล่ามีจำนวน 2 โครงการ โดยมีวิลล่าจำนวนทั้งหมด 198 หลัง ที่จังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า และจังหวัดบิ่งถ่วน โดยในจำนวนนั้นสามารถขายได้ 65 หลัง สำหรับโครงการ Condotel มีห้องเพิ่มถึง 1,000 ห้อง อัตราการซื้อขายประมาณร้อยละ 30 โดยจังหวัด 3 อันดับแรกคือจังหวัดบิ่งถ่วนมีอัตราการซื้อขายอยู่ที่ 120 ห้องจาก 300ห้อง จังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า 70 ห้องจาก 156 ห้อง นครดานัง 100 ห้องจาก 427 ห้อง
ทั้งนี้ บริษัท Novaland บริษัท Vingroup และบริษัท Thuduc House ล้วนออกมาให้สัมภาษณ์ในทิศทางเดียวกันว่า ทั้ง 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์มีโครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ในช่วงปลายปี 2560 โดยจะเน้นการลงทุนการก่อสร้างรีสอร์ท Condotel และวิลล่าเป็นหลักในจังหวัดบาเหรี่ยะ-หวุงเต่า บิ่งถ่วน และนครดานัง
ที่มา นิตยสาร Doanh Nhanh Saigon เล่มที่ 436+437 วันที่ 26 เมษายน 2560 – 9 พฤษภาคม 2560 หน้า 10 - 11
5. ธุรกิจค้าไม้แปรรูปกำลังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูลของสมาคมไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้นครโฮจิมินห์ (HAWA) ธุรกิจไม้แปรรูปของเวียดนามกำลังมีการเติบโตอย่างมาก ไม้ที่ผลิตจากเวียดนามกำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก นักธุรกิจหลายรายกำลังเพิ่มการลงทุนในการสร้างโรงงานแปรรูปไม้อีกหลายแห่ง
นาง Nguyen Thi Van ผู้อำนวยการบริษัท Van Nguyen บริษัทค้าไม้ในจังหวัดบิงห์เยืองให้สัมภาษณ์ว่า มีใบสั่งสินค้าหลายรายการทำให้บริษัทต้องเร่งกระบวนการการผลิตสินค้าไปให้ลูกค้าให้ทันโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบสั่งสินค้าจำนวนมากจากทวีปยุโรปและประเทศสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นผลให้บริษัทสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น บริษัท Scansia Pacific บริษัทร่วมหุ้นระหว่างนักลงทุนชาวอังกฤษและนอเวย์ที่ทำธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์จากไม้ มีโรงงานอยู่ที่เขตอุตสาหกรรม Tan Tao นครโฮจิมินห์ได้วางแผนก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ขึ้นในปี 2560 นาย Nguyen Chien Thang ผู้อำนวยการบริษัทกล่าวว่า หลังจากหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจไม้แปรรูปของประเทศเวียดนามซบเซาลง แต่ในปี 2560 กลับกลายเป็นปีที่สดใสของธุรกิจนี้ บริษัทจำเป็นต้องลงทุนซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์เพิ่มเติมและจ้างพนักงานใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าต่างประเทศ
โรงงานแปรรูปไม้ส่วนมากในเวียดนามมีที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดบิงห์เยืองและจังหวัดด่งนาย นาย Huynh Van Hanh รองประธานสมาคมไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้นครโฮจิมินห์ให้สัมภาษณ์ว่า ในอีกครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมียอดสั่งซื้อไม้จากต่างประเทศเข้ามาอีกมาก นอกจากนั้น บริษัทแปรรูปไม้จากจีนก็มีแผนที่จะเข้ามาลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2560 ธุรกิจค้าไม้ของเวียดนามจะเติบโตขึ้นมากกว่าร้อยละ 20
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในอนาคตอันใกล้จะมียอดการสั่งสินค้าจากต่างประเทศสูงขึ้น ปัญหาของธุรกิจดังกล่าวคือการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ นาย Le Xuan Bac ประธานบริษัท Thinh Viet Furniture กล่าวว่า การขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเนื่องจากแรงงานที่มีฝีมือส่วนมากอยากจะไปทำงานที่ประเทศอื่น โดยมีไม่กี่บริษัทที่มีแรงงานมากกว่า 500 คน คิดเป็นสัดส่วนแค่ร้อยละ 2.5 ของจำนวนบริษัทแปรรูปไม้ทั้งหมดในเวียดนาม
นอกจากนั้น นาย Dien Quang Hiep ประธานบริษัท Mifaco กล่าวเสริมว่า จุดด้อยของธุรกิจการค้าไม้ในประเทศคือยังขาดแคลนเครื่องมือ อุปกรณ์ และความรู้ โดยเครื่องมือต่างๆ ยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังต้องพึ่งพาแรงงานที่มีความรู้ มีประสบการณ์จากต่างประเทศอีกมาก
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนล้วนกล่าวว่า หากมีนโยบายช่วยเหลือแรงงาน มีสิ่งดึงดูดให้แรงงานเพิ่มขึ้น และมีนโยบายการนำเข้า – ส่งออกสินค้าที่ดีขึ้น ธุรกิจการค้าไม้แปรรูปของประเทศจะพัฒนาไปได้ดีขึ้น
ที่มา หนังสือพิมพ์ Tuoi Tre วันที่ 8 พฤษภาคม 2560
URL: http://tuoitre.vn/tin/kinh-te/20170508/doanh-nghiep-nganh-go-ngap-don-hang/1310550.html
6. โฆษนารถโดยสารประจำทางในนครโฮจิมินห์มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนพฤษภาคม
ภาพที่ 4 โฆษณารอบตัวรถโดยสารประจำทาง
สืบเนื่องมาจากมติหมายเลข 2095 ของคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ ที่อนุญาตให้สามารถโฆษณาบริเวณนอกตัวรถโดยสารประจำทางในตัวนครโฮจิมินห์ได้นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 เป็นต้นไป โดยสามารถโฆษณาได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของตัวรถ อย่างไรก็ตาม การโฆษณาด้านหน้า ด้านหลัง และด้านบนของตัวรถยังคงไม่สามารถทำได้ การโฆษณาดังกล่าวจะต้องใช้พื้นที่ไม่เกินร้อยละ 50 ของแต่ละด้าน อย่างไรก็ตาม รถโดยสารประจำทางร้อยละ 20 ของแต่ละสายจะถูกแยกไว้สำหรับการโฆษณาทางการเมืองเท่านั้น
สำหรับการคิดค่าโฆษณาของรถโดยสารประจำทางของรัฐ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการหารือกับผู้โฆษณาในการเก็บค่าโฆษณาให้เหมาะสม แต่สำหรับรถโดยสารร่วมบริการของบริษัทเอกชน ผู้ให้บริการสามารถคิดค่าโฆษณาได้โดยอิสระ
รายได้ค่าโฆษณาของรถโดยสารประจำทางของรัฐจะถูกส่งไปยังส่วนกลางหลังจากหักภาษีทั้งหมด สำหรับรายได้ค่าโฆษณาของรถโดยสารร่วมบริการของบริษัทเอกชน รายได้ส่วนนั้นจะถูกรวมกับรายได้ทั้งหมดของบริษัทและจะต้องจ่ายภาษีอย่างถูกกฏหมาย สำนักงานคมนาคมคาดการณ์ว่า รายได้จากการโฆษณาในแต่ละปีจากรถประจำทางจำนวน 2,344 คันจะมีมูลค่า 170 พันล้านด่ง (ประมาณ 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยจะนำมาใช้อุดหนุนค่าโดยสารต่อไป
ในเดือนเมษายน 2559 นครโฮจิมินห์ได้ริเริ่มโครงการนำร่องโดยให้โฆษณาบนรถโดยสารประจำทาง 171 คันใน 10 สาย และสำนักงานคมนาคมเห็นว่า การโฆษณาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ ความงดงามของพื้นที่ และความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนแต่อย่างใด
ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times Daily วันที่ 8 พฤษภาคม 2560 หน้าที่ 2
7. การท่องเที่ยวเชิงการเกษตรกำลังได้รับความนิยม
พื้นที่ทำการเกษตรของเวียดนามหลายแห่งกำลังเร่งพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการเกษตรเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น ตำบล Tra Que เมืองฮอยอัน จังหวัดกว๋างนามที่ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนหลายแสนคนเดินทางมาท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนรู้สึกแปลกใจกับวิธีการปลูกพืชผักปลอดสารพิษของเกษตรกรเวียดนาม และให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวรูปแบบนี้มาก เพราะสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ เทคนิค และวิธีการปลูกผืชผักปลอดสารพิษโดยตรง บริษัทท่องเที่ยวหลายบริษัทได้เพิ่มการท่องเที่ยวรูปแบบดังกล่าวไว้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของตนอีกด้วย นอกจากนี้ การท่องเที่ยวรูปแบบดังกล่าวจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการเกษตรและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอีกด้วย
นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นตั้งมา จังหวัดกว๋างนามได้พยายามพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการเกษตรโดยสนับสนุนการท่องเที่ยวในเขตชนบท เขตภูเขา และเขตชุมชนท้องถิ่นเก่าแก่ เช่น ในพื้นที่ Nam Giang พื้นที่ Dong Giang และพื้นที่ Duy Xeyen ตลอดจนนครดานังก็พยายามที่จะยกระดับการท่องเที่ยวรูปแบบดังกล่าวโดยพยายามพัฒนาพื้นที่ปลูกพืชผัก La Huong พื้นที่ Tuy Loan และฟาร์มการเกษตรของคุณ Nguyen Phuoc ให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครโฮจิมินห์และจังหวัดบิงห์เยืองต่างก็พยายามพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบดังกล่าวเช่นกัน
มีโอกาสอีกมากที่จะพัฒนาการเกษตรควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยทุกภาคส่วนควรร่วมกันยกระดับขีดความสามารถที่มีอยู่ ผู้บริหารสำนักงานการส่งเสริมการเกษตรจังหวัดกว๋างนามได้กล่าวว่า รัฐบาลควรจะมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร พัฒนาการเกษตรขั้นสูง สนับสนุนผลิตภัณฑ์การเกษตรปลอดสารพิษ และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานการเกษตร สำนักงานการท่องเที่ยว สำนักงานการส่งเสริมการค้า สำนักงานสิ่งแวดล้อม และรัฐบาลท้องถิ่นควรร่วมมือกันยกระดับคุณภาพและบริการของสินค้าการเกษตรให้ดียิ่งขึ้น และสร้างผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงเกษตรของแต่ละพื้นที่จะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์และมีความน่าสนใจที่จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
ที่มา หนังสือพิมพ์ Thanh Nien วันที่ 9 พฤษภาคม 2560 หน้า 12
8. จังหวัดเถื่อเทียน-เว้ เรียกร้องให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในภาคการท่องเที่ยวและการบริการ
ภาพที่ 5 วัด Thien Mu สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในจังหวัด
คณะกรรมการประชาชนจังหวัดเถื่อเทียน-เว้เพิ่งจะประกาศแผนการดึงดูดการลงทุนฉบับปี 2560 โดยคาดหวังว่าจังหวัดจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติได้ 6,000 – 8,000 พันล้านด่ง (ประมาณ 300 – 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
จากแผนการดังกล่าว จังหวัดเถื่อเทียน-เว้คาดหวังว่าจะมีนักลงทุนชาวไทย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ประเทศอื่นๆ และนักลงทุนภายในประเทศเข้ามาลงทุนในภาคการท่องเที่ยวและการบริการ เทคโนโลยีสารสนเทศ สาธารณสุข การเพาะเลี้ยงสัตว์ อุตสาหกรรม และการพัฒนาเศรษฐกิจในเมือง โดยจังหวัดคาดหวังว่านักลงทุนต่างชาติจะให้ความสนใจในการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดเป็นพิเศษ
ในช่วงไม่นานมานี้ จังหวัดเถื่อเทียน-เว้พยายามที่จะดึงดูดให้กลุ่มบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาลงทุนในจังหวัด เช่น บริษัท FLC บริษัท Vingroup บริษัท Bitexco บริษัท Viglacera โดยร่วมมือกับองค์กรการค้าและความร่วมมือต่างๆ เช่น JICA KOICA และ JETRO
นาย Nguyen Van Cao ประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกล่าวว่า จังหวัดพยายามที่จะเปลี่ยนวิธีการดึงดูดนักลงทุนและสร้างแรงจูงใจที่เอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวและบริการ ปัจจุบัน จังหวัดกำลังทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำหลายแห่งในการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะลงทุนในจังหวัด เช่น โครงการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานที่เขตอุตสาหกรรม Thien Ha Kameda การยกระดับท่าเรือ Chan May และโครงการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ Lang Co
ที่มา หนังสือพิมพ์ Bao Tin Tuc วันที่ 9 พฤษภาคม 2560
9. ราคาที่ดินรอบนอกตัวนครโฮจิมินห์ยังมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในนครโฮจิมินห์ยังคงมีแนวโน้มการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลานี้และมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความวิตกกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดในอนาคตได้
ราคาที่ดินบริเวณเขตและอำเภอรอบนอกตัวนครโฮจิมินห์มีราคาสูงขึ้นทุกวัน ราคาที่ดินบางแห่งเพิ่มขึ้นถึง 1.5 – 2 เท่าเมื่อเทียบกับราคาของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาที่ดินทางทิศตะวันตกและตะวันออกของตัวนครโฮจิมินห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดบริเวณ Dong Sai Gon เขต 9 ติดกับเขต 2 และเขต Thu Duc ซึ่งพื้นที่บริเวณดังกล่าวกำลังมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานและอยู่ติดกับบริเวณที่กำลังพัฒนาเมืองใหม่ Thu Thiem เขต 2 ส่งผลให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนั้น ราคาที่ดินบริเวณอำเภอ Cu Chi อำเภอ Hoc Mon และอำเภอ Binh Chanh ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูง แต่ก็ยังมีผู้ซื้อขายอยู่เป็นจำนวนมาก
ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์หลายคนมองว่าราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างมากในบริเวณต่างๆ ของนครโฮจิมินห์จะส่งผลเสียต่อภาพรวมของตลาดในอนาคต ดร. Dinh The Hien ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนสร้างอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในบริเวณนครโฮจิมินห์คือ (1) เหตุผลทางด้านจิตวิทยา โดยจะมีคนลงทุนตามๆ กันและเมื่อเห็นว่าพื้นที่ลดลงยิ่งทำให้อยากเข้าไปลงทุนให้เร็วขึ้น (2) โอกาสมหาศาลของนักลงทุนรายเล็กและรายใหญ่ (3) กำไรที่มากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่จ่ายไป
นาย Le Hoang Chau ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์นครโฮจิมินห์มองว่า ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นสูงจะสร้างกำไรให้กับนักลงทุนเท่านั้น ส่วนผู้ซื้อขายเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์ โดยผู้ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ควรที่จะศึกษาและใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากในช่วงนี้ หรือรอให้กระแสการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มีความร้อนแรงน้อยลงก่อน
ที่มา หนังสือพิมพ์ Bao Tin Tuc วันที่ 7 พฤษภาคม 2560
**********************************************************
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)