ข่าวเด่นวันที่ 1-15 สิงหาคม 2563

ข่าวเด่นวันที่ 1-15 สิงหาคม 2563

วันที่นำเข้าข้อมูล 20 ส.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 1,063 view

ผู้ประกอบการในนครโฮจิมินห์กว่า 19,000 ราย ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราวในช่วงครึ่งแรกของปี 2563

ผู้ประกอบการในนครโฮจิมินห์ได้ระงับการดำเนินกิจการในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

จากข้อมูลกรมสรรพากรนครโฮจิมินห์พบว่า มีผู้ประกอบการล้มเลิกกิจการกว่า 3,400 ราย ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราวกว่า 7,100 ราย และย้ายที่อยู่สำนักงานกว่า 4,000 ราย ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขต 1 และเขต Tân Bình เป็นภาคเอกชนกว่าร้อยละ 98.15 และในจำนวนนี้มีธุรกิจที่ดำเนินกิจการมาแล้ว 3-9 ปีมากกว่าครึ่งหนึ่ง

ทั้งนี้ ธุรกิจค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 38 ของธุรกิจทั้งหมดทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี จำนวนบริษัทที่เพิ่งเริ่มดำเนินกิจการใหม่ในช่วงเดียวกันกลับเท่ากับจำนวนบริษัทที่ยุติการดำเนินกิจการ ประกอบด้วยบริษัทที่จัดตั้งใหม่ 8 ราย บริษัทที่กลับมาดำเนินการอีกครั้งกว่า 2,800 รายและบริษัทที่ย้ายสำนักงานมายังนครโฮจิมินห์จากจังหวัดหรือนครอื่นๆ อีก 166 ราย

อนึ่ง บริษัทที่เพิ่งจัดตั้งส่วนใหญ่จัดอยู่ในภาคการค้าและค้าปลีก นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริษัทด้านเทคโนโลยี และตั้งอยู่ในเขต 1 และเขต 7 ในนครโฮจิมินห์จำนวนมาก

ที่มา: Saigon Times วันที่ 20 กรกฎาคม 2563

https://english.thesaigontimes.vn/77673/some-19000-enterprises-suspend-operations-in-hcmc-in-h1.html

 

จังหวัดก่าเมาตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงภายในปี 2573

จังหวัดก่าเมาตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงภายในปี 2573 โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงผลิตในจังหวัดเป็น 4,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 ประกอบด้วยพลังงานหมุนเวียน 1,000 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 5,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2588 ในการนี้ จังหวัดจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโครงการโรงเก็บพลังงานก๊าซแบบลอยน้ำ (floating storage) ท่อขนส่งก๊าซ สถานีรีไซเคิลและเติมก๊าซ นอกจากนี้ จะนำเข้าและสำรองก๊าซธรรมชาติ (LNG) ปีละ 7 ล้านลูกบาศก์เมตรตั้งแต่ปี 2573 และเพิ่มเป็นปีละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตรตั้งแต่ปี 2588 เป็นต้นไป รวมถึงมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าอีกด้วย

ทั้งนี้ จังหวัดกำลังส่งเสริมให้นักลงทุนเข้ามาพัฒนาโครงการโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานก๊าซธรรมชาติ พลังงานความร้อนและพลังงานหมุนเวียน รวมถึงมีแผนการก่อสร้าง Floating Storage and Regasification Units (FSRUs) เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าและปิโตรเลียมภายในจังหวัดและสำหรับจังหวัดรอบข้างด้วย โดยจะเร่งดำเนินการพัฒนาโครงการพลังงานลม แสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวลและขยะมูลฝอย โดยเฉพาะโครงการแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา แผงพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำที่ทำควบคู่กับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โครงการพลังงานลมและ LNG นอกชายฝั่ง รวมถึงการเพิ่มแรงงานทักษะในภาคพลังงานด้วย

ที่มา: Vietnam News วันที่ 27 กรกฎาคม 2563

https://vietnamnews.vn/economy/770128/ca-mau-aims-to-become-energy-centre-of-mekong-delta-region-by-2030.html

 

เวียดนามนำร่อง 10 เมืองใหญ่กระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจยามราตรี

รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติโครงการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจยามราตรีในหัวเมืองใหญ่และดึงดูดการท่องเที่ยวในช่วงเวลากลางคืนถึง 06.00 น.

โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการใช้ศักยภาพของเศรษฐกิจยามราตรีเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศและเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการจัดระเบียบทางสังคมและความปลอดภัยโดยจะริเริ่มโครงการนำร่องใน10 เมืองและจังหวัดขนาดใหญ่ ได้แก่ กรุงฮานอย, จังหวัดกว๋างนินห์, นครไฮฟอง, นครโฮจิมินห์, นครดานัง, เมืองฮอยอัน, จังหวัดเถื่อเทียน-เว้, นครเกิ่นเทอ, เมืองด่าหลัดและเกาะฟูก๊วก

ทั้งนี้ จะมีการประเมินประสิทธิผลของโครงการนำร่องเพื่อทบทวนและใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีแผนสร้างอาคารสถานบันเทิงยามราตรีเต็มรูปแบบหลายแห่งในกรุงฮานอย นครโฮจิมินห์และนครดานัง ในช่วงปี 2564- 2569 นี้ โดยนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้สั่งการให้คณะกรรมการประชาชนเมืองและจังหวัด ดำเนินการนำร่องรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจยามราตรี โดยใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับศักยภาพท้องถิ่นโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรที่มีอยู่

ที่มา: Vietnam Net วันที่ 31 กรกฎาคม 2563

https://vietnamnet.vn/en/business/vietnam-to-pilot-night-time-economic-activities-in-10-major-cities-662469.html

 

นครโฮจิมินห์ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมูลค่า 2.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 7 เดือนแรกของปี 2563

สถิติสะสมจนถึงเดือนกรกฎาคม 2563 นครโฮจิมินห์สามารถดึงดูดโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในนคร รวมการซื้อขายหุ้นแล้วมูลค่ารวม 2.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 32.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยในจำนวนนั้นเป็นโครงการใหม่ 598 โครงการมูลค่ารวม 355.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 11.8 ในแง่ปริมาณโครงการและร้อยละ 48.3 ในแง่มูลค่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เพิ่มเงินลงทุนมูลค่า 209.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อหุ้นส่วนในบริษัทเวียดนามกว่า 2,400 หน่วย มูลค่ากว่า 1.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 27.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจที่มีการลงทุนมากที่สุดในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 ได้แก่ (1) ภาคการค้า มูลค่าการลงทุนรวม 624.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 26.2 ของการลงทุนทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ (2) ภาคอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 441.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 18.6 (3) อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป มูลค่า 315.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 13.3 (4) สารสนเทศและการสื่อสาร มูลค่า 149.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 6.3 และ (5) การก่อสร้าง มูลค่า 113.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 4.8

มีนักลงทุนจาก 104 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในโครงการใหม่ เพิ่มเงินลงทุนหรือซื้อหุ้นส่วนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 โดยเป็นสัญชาติสิงคโปร์มากที่สุด มูลค่า 570.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 24 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ เกาหลีใต้ มูลค่า 357.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 15.1 ญี่ปุ่น มูลค่า 331.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 13.9 หมู่เกาะเคย์แมน มูลค่า 261.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 11 หมู่เกาะบริติชเวิร์จิน มูลค่า 137.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 5.8 และเนเธอร์แลนด์ มูลค่า 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 5

นาง Le Thi Huynh Mai ผู้อำนวยการกรมการวางแผนและการลงทุนนครโฮจิมินห์ กล่าวว่า หากนครโฮจิมินห์ต้องการฟื้นฟูการลงทุนภายหลังสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น นครจะต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน จัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการด้านการคมนาคม เร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการลงทุนที่ล่าช้า เร่งปฏิรูปกระบวนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและเร่งการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม อาทิ นิคมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขนาด 38 เฮกตาร์ในเขต Binh Chanh เป็นต้น

อนึ่ง จากการสำรวจของบริษัทสำรวจการตลาด Savills Vietnam เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 เวียดนามยังเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถดึงดูดการลงทุนระดับโลกได้ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย

ที่มา: Saigon Giai Phong Online วันที่ 1 สิงหาคม 2563

https://sggpnews.org.vn/business/hcmc-draws-us237-billion-in-fdi-in-seven-months-87800.html

 

บริษัทบ้านปูซื้อโครงการพลังงานลมในจังหวัดนิญถ่วน

บริษัทบ้านปูได้ซื้อโครงการพลังงานลม Mui Dinh มูลค่า 66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดำเนินการผ่านบริษัท BRE Singapore Pte., Ltd. ซึ่งบริษัทบ้านปูถือหุ้นส่วนอยู่ร้อยละ 50 ผ่านบริษัท Banpu NEXT ทั้งนี้ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดในสัญญาซื้อขาย (sales and purchase agreement – SPA) โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ผลประกอบการของโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จะตกเป็นของบริษัท BRE โดยอัตราการซื้อขายพลังงาน (FiT) ของโครงการอยู่ที่ 8.5 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 20 ปีตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN)

โครงการพลังงานลม Mui Dinh เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 มีกังหันลมของบริษัท Enercon Partner Konzept (EPK) 16 ตัว กำลังการผลิตตัวละ 2.35 เมกะวัตต์ มีกำลังการผลิตรวมทั้งโครงการ 37.6 เมกะวัตต์ โดยบริษัทบ้านปูได้ทำข้อตกลงกับบริษัท EPK ในการซ่อมบำรุงกังหันลมต่อไปเป็นระยะเวลา 20 ปีเพื่อให้ระบบปฏิบัติการมีประสิทธิภาพสูงสุด โครงการตั้งอยู่ในจังหวัดนิญถ่วนบนชายฝั่งทะเลในภูมิภาคเวียดนามกลางตอนล่าง ซึ่งถือว่าเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของโครงการพลังงานหมุนเวียนเนื่องจากมีปริมาณแสงแดดและความเร็วลมเหมาะสมแก่การผลิตพลังงานหมุนเวียน รวมถึงมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลอีกด้วย โดยปัจจุบัน พลังงานหมุนเวียนกว่าร้อยละ 80 ของประเทศถูกผลิตมาจากจังหวัดนิญถ่วน

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบ้านปูกล่าวว่า การลงทุนในโครงการพลังงานลมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนอย่างยั่งยืนและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของบริษัท โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวในเวียดนามที่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 นอกจากนี้ ยังมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับบริษัทบ้านปูต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการพลังงานลมแล้วทั้งหมด 7 กิกะวัตต์และมีเป้าหมายให้เวียดนามมีกำลังการผลิตพลังงานลมทั้งประเทศ 12 กิกะวัตต์

บริษัทบ้านปูมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 700,000 ตันหรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ปีละกว่า 40 ล้านต้น และมีเป้าหมายให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 6,100 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 โดยเน้นลงทุนในตลาดที่มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้บริษัท BanpuNEXT เป็นผู้นำด้านการพัฒนาพลังงานทางเลือกและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง หากรวมโครงการพลังงานลม Mui Dinh แล้ว บริษัทบ้านปูจะมีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 814 เมกะวัตต์

ที่มา: Vietnam Investment Review วันที่ 4 สิงหาคม 2563

https://www.vir.com.vn/banpu-acquires-new-operating-wind-farm-in-vietnam-as-part-of-plans-for-greener-future-78328.html

 

นครโฮจิมินห์จะต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างรัดกุม

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 คณะกรรมการควบคุมและป้องกันโรคนครโฮจิมินห์ได้จัดการประชุมออนไลน์ โดยมีนาย Nguyen Thien Nhan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นครโฮจิมินห์เป็นประธาน โดยได้กล่าวว่า ขณะนี้นครโฮจิมินห์กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 2 และนับจนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยติดเชื้อ 69 คน รักษาหายแล้ว 61 คน และยังไม่มีผู้เสียชีวิต อัตราส่วนผู้ติดเชื้อเป็น 2.5 คนต่อ 1 ล้านคนและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 คนต่อ 1 ล้านคนภายในระยะเวลา 20-30 วันข้างหน้า ซึ่งนครฯ มีความเสี่ยงสูงจากผู้ที่เดินทางกลับมาจากนครดานังประมาณ 140,000 คนโดยจากจำนวนดังกล่าวมีผู้ที่กรอกแบบฟอร์มข้อมูลด้านสุขภาพเพียง 36,745 คน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากชาวต่างชาติที่เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย

นาย Nhan ได้มอบนโยบายให้นครยังยังคงต้องปล่อยให้ภาคธุรกิจดำเนินการด้านการผลิตและการค้าต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดด้วย ในการนี้ คณะกรรมการประชาชนนครฯ ได้มอบหมายให้กรมสาธารณสุขจัดเตรียมศูนย์กักตัวและรักษาโรคในกรณีที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารับการกักตัวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงติดตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและขอให้ประชาชนในนครกรอกแบบฟอร์มข้อมูลด้านสุขภาพส่งให้กรมตำรวจของนครเพื่อสำรวจจำนวนประชากรในนครและรายงานผลแก่คณะกรรมการประชาชนนครฯ ภายในวันที่ 15 และ 30 สิงหาคม 2563 รวมถึงห้ามการทำกิจกรรมในที่สาธารณะร่วมกันเกิน 30 คน (ยกเว้นโรงเรียน สำนักงานและโรงพยาบาล) และเฝ้าระวังการเดินทางเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ได้สั่งการให้กรมอุตสาหกรรมและการค้าจัดเตรียมสินค้าที่จำเป็นให้เพียงพอและสั่งการให้กรมคมนาคมบังคับใช้มาตรการในการลดความเสี่ยงในการเดินทาง นอกจากนี้ นาย Nguyen Thanh Phong ประธานคณะกรรมการประชาชนนครได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับเขตเฝ้าระวังผู้ที่ต้องกักตัวในสถานที่พักอาศัยและบังคับใช้มาตรการการปรับผู้ที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป

ที่มา: Saigon Giai Phong วันที่ 5 สิงหาคม 2563

https://sggpnews.org.vn/hochiminhcity/hcmc-must-not-be-subjective-in-covid19-fight-87853.html

 

จังหวัดบ่าเหรี่ย-หวุงเต่าอนุมัติโครงการสะพานเชื่อมท่าเรือและทางหลวงมูลค่า 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 จังหวัดบ่าเหรี่ย-หวุงเต่าได้อนุมัติโครงการก่อสร้างสะพาน Phuoc An เชื่อมท่าเรือน้ำลึก Cai Mep-Thi Vai เข้ากับทางหลวงในภาคใต้ มูลค่าการลงทุน 4.9 ล้านล้านด่ง (212.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเป็นงบประมาณของจังหวัด 2.9 ล้านล้านด่ง (125.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และงบประมาณส่วนกลาง 2 ล้านล้านด่ง (86.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ท่าเรือ Cai Mep-Thi Vai ได้เปิดดำเนินการมาประมาณ 10 ปีแล้วแต่สามารถดำเนินการได้เพียงร้อยละ 50 ของศักยภาพ เนื่องจากไม่มีระบบคมนาคมเชื่อมกับจังหวัดรอบข้าง เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ สะพาน Phuoc An จะเชื่อมท่าเรือกับอำเภอ Nhon Trach จ. ด่งนาย รวมถึงทางหลวง Ben Luc-Long Thanh และทางหลวงอื่นๆ ในภาคใต้ของเวียดนาม ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ศักยภาพของท่าเรือน้ำลึกและพัฒนาระบบโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ จังหวัดบ่าเหรี่ย-หวุงเต่าได้วางแผนก่อสร้างสะพาน Phuoc An พร้อมๆ กับโครงการท่าเรือ Cai Mep-Thi Vai อย่างไรก็ดี โครงการประสบปัญหาต่างๆ จำนวนมาก แต่เดิมโครงการมีแผนที่จะใช้ประโยชน์จากความช่วยเหลือด้านการพัฒนาจากญี่ปุ่นหรือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership) อย่างไรก็ดี ในปี 2561 ได้ตัดสินใจขออนุมัติการลงทุนจากภาครัฐสำหรับพัฒนาโครงการดังกล่าว

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2563 คณะผู้บริหารจังหวัดบ่าเหรี่ย-หวุงเต่าและจังหวัดด่งนาย ร่วมกับกระทรวงคมนาคม ได้ตกลงร่วมกันที่จะก่อสร้างสะพาน Phuoc An ห่างจากพื้นที่ที่วางแผนไว้เดิมไป 150 เมตรเพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาที่ดินของจังหวัดด่งนายด้วย สะพานดังกล่าวมีความยาวกว่า 3.5 กิโลเมตรและสามารถให้เรือระวางขนาด 30,000 ตันผ่านได้

ที่มา: Saigon Times วันที่ 5 สิงหาคม 2563

https://english.thesaigontimes.vn/77924/ba-ria-vung-tau-approves-vnd49-trillion-bridge-connecting-ports-and-expressways.html