วันที่นำเข้าข้อมูล 30 พ.ค. 2560
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562
ข่าวเด่นวันที่ 29 - 30 พฤษภาคม 2560
1. ทุเรียนจิ๋วไทยกำลังเป็นที่นิยมในเวียดนาม
ภาพที่ 1 ทุเรียนขนาดจิ๋วกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเวียดนาม
แม้ว่าทุเรียนจิ๋วไทยจะมีราคาสูงกว่าทุเรียนทั่วไปมาก แต่สินค้าที่มีลักษณะพิเศษและมีแหล่งผลิตจากประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในท้องตลาดเวียดนาม
นาง Phu ประชาชนในเขต 5 นครโฮจิมินห์กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ตนได้เห็นทุเรียนจิ๋วขายอยู่ในร้านค้าสรรพสินค้าทั่วไป ทุเรียนหนึ่งลูกมีน้ำหนักเพียง 400 กรัมเท่านั้นและมีผลเพียงแค่ 4 – 5 ผล โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 135,500 ด่งต่อหนึ่งกิโลกรัม แม้ว่าราคาจะสูงกว่าทุเรียนภายในประเทศอยู่มาก แต่ก็เป็นที่นิยมของผู้บริโภค
นาง Lan ผู้นำเข้าและกระจายทุเรียนจิ๋วไทยในนครโฮจิมินห์กล่าวว่า แม้ว่าตนเพิ่งจะเริ่มนำเข้าและกระจายสินค้าได้ไม่นาน แต่ยอดสั่งจองสินค้าก็เพิ่มขึ้นทุกๆ วันอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้มีจำนวนคนสั่งสินค้าถึง 200 คน ตนจึงได้หยุดการเปิดจองเอาไว้ก่อน สาเหตุที่ทำให้ทุเรียนจิ๋วชนิดนี้สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้เป็นจำนวนมากเพราะความอยากทดลองสินค้าใหม่ๆ จากต่างประเทศของคนเวียดนาม
นาง Thao ประชาชนในเขต 12 นครโฮจิมินห์กล่าวว่า ตนเพิ่งจะสั่งทุเรียนจิ๋วมาลองรับประทาน โดยก่อนหน้านั้น ตนชอบทานทุเรียนหมอนทองจากประเทศไทยมาก แม้ว่าตอนที่สั่งทุเรียนจิ๋วมาจะมีคนบอกว่าเป็นสินค้าจากประเทศจีนหรือภายในประเทศเวียดนามเอง แต่เมื่อเห็นรูปภาพและตราสัญลักษณ์ประเทศไทยก็ทำให้ตนรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
จากการสำรวจของสำนักข่าว VnExpress พบว่าราคาซื้อขายทุเรียนจิ๋วนำเข้าจากประเทศไทยมีราคาประมาณ 110,000 – 150,000 ด่งต่อหนึ่งกิโลกรัม มากกว่าราคาขายปลีกทุเรียนในตลาดใหญ่ๆ และซุปเปอร์มาเก็ตภายใน นครโฮจิมินห์กว่า 2 เท่าตัว
ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 27 พฤษภาคม 2560
URL: http://kinhdoanh.vnexpress.net/tin-tuc/hang-hoa/sau-rieng-mini-thai-lan-chay-hang-vi-khach-to-mo-3591148.html
2. ภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกับนิคมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยง/แปรรูปกุ้งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
ภาพที่ 2 พื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้งแห่งหนึ่งในจังหวัดบากเลียว
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 นาย Nguyen Xuan Phuc นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ลงนามในมติรัฐบาลอนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยง/แปรรูปกุ้งด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงในจังหวัดบากเลียว ตำบล Hiep Thanh อำเภอเมืองบากเลียว ซึ่งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมกุ้งเฉพาะทางแห่งแรกในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ใช้พื้นที่ทั้งหมดกว่า 418.91 เฮกตาร์
จุดประสงค์ของโครงการดังกล่าวคือการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง/แปรรูปกุ้งที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและชักชวนให้นักลงทุนที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีมาลงทุนในเขตอุตสาหกรรมดังกล่าวเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพ ปริมาณ และมูลค่าของกุ้งในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
เขตอุตสาหกรรมดังกล่าวจะใช้สำหรับการค้นคว้าวิจัยและเพาะพันธุ์กุ้ง ตลอดจนการเพาะเลี้ยงกุ้งและแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกุ้ง พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง คิดค้นเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกุ้ง และดึงดูดการลงทุนจากทั้งในและนอกประเทศ
เงินลงทุนในโครงการดังกล่าวจะมาจากงบประมาณของรัฐบาลกลางร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นและเงินลงทุนจากบริษัทต่างๆ ที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการก่อสร้าง โดยหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในเขตอุตสาหกรรมดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนการลงทุนตามความเหมาะสมต่อไป
จากรายงานของสมาคมผู้แปรรูปและส่งออกอาหารทะเลเวียดนาม (VASEP) ในปี 2559 การส่งออกอาหารทะเลของเวียดนามมีมูลค่า 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนั้น การส่งออกกุ้งมีมูลค่าถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา สำนักข่าว Vietnambiz วันที่ 27 พฤษภาคม 2560
URL: http://vietnambiz.vn/dbscl-co-khu-nong-nghiep-cong-nghe-cao-nganh-tom-hon-400-ha-22358.html
3. ราคาทรายที่ใช้ในการก่อสร้างในนครโฮจิมินห์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อไม่นานมานี้ จำนวนทรายที่ใช้ในการก่อสร้างในนครโฮจิมินห์มีปริมาณลดลงอย่างน่าตกใจซึ่งส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นต้องซื้อทรายในราคาที่สูงขึ้นจากเดิม 1.5 – 2 เท่า จากรายงานของสำนักงานการก่อสร้างนครโฮจิมินห์ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ราคาขายทรายในเขตและอำเภอต่างๆ ในนครโฮจิมินห์มีราคาตั้งแต่ 150,000 – 254,545 ด่งต่อหนึ่งลูกบาศก์เมตรตามแต่ละชนิดและคุณภาพของสินค้า
ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทผู้จัดจำหน่ายทรายหลายรายได้ขึ้นราคาขายจริงมากกว่าที่ได้รายงานให้สำนักงาน การก่อสร้างนครโฮจิมินห์รับทราบ ผู้รับเหมาก่อสร้างรายหนึ่งรายงานว่า ราคาทรายที่ใช้ในการก่อสร้างคุณภาพธรรมดาเดิมมีราคาเพียง 100,000 ด่งต่อหนึ่งลูกบาศก์เมตร และทรายที่มีคุณภาพดีมีราคา 300,000 ด่งต่อหนึ่งลูกบาศก์เมตร แต่ในปัจจุบัน ราคาทรายเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ด่งต่อหนึ่งลูกบาศก์เมตร และ 300,000 ด่งต่อหนึ่งลูกบาศก์เมตรตามลำดับ
บริษัท Sy Manh ผู้จำหน่ายวัตถุดิบที่ใช้ในการก่อสร้างที่แจ้งให้ทราบว่า ร้านค้าต่างๆ จำเป็นต้องขายทรายในราคา ที่สูงขึ้น เนื่องมาจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นและปริมาณทรายที่มีอยู่จำกัด ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าหลายรายต้องสั่งซื้อล่วงหน้ามากกว่า 1 สัปดาห์
นาย Nguyen Quoc Trieu ชาวบ้านที่กำลังสร้างบ้านบริเวณเขต 12 กล่าวว่า หลังจากเทศกาลตรุษเวียดนาม ผ่านไป ราคาทรายมีราคาอยู่ที่ 1.1 – 1.2 ล้านด่งต่อรถบรรทุกทราย 1 คัน (5 ลูกบาศก์เมตร) แต่หลังจากนั้น 4 เดือน ราคากลับสูงถึง 2.6 ล้านด่งต่อรถบรรทุกทราย 1 คัน คิดเป็นราคาประมาณ 520,000 ด่งต่อหนึ่ง ลูกบาศก์เมตร
ตัวแทนของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่แห่งหนึ่งในนครโฮจิมินห์ให้สัมภาษณ์ว่า ราคาทรายที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่น้อย เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นได้ลงนามในสัญญาซื้อขายทรายระยะยาวกับผู้จัดจำหน่ายทรายไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ราคาทรายที่เพิ่มขึ้นจะสร้างผลกระทบต่อผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดเล็ก – กลาง ที่มิได้คาดการณ์ว่าราคาทรายจะเพิ่มสูงขึ้น
ที่มา หนังสือพิมพ์ Bao Tin Tuc วันที่ 26 พฤษภาคม 2560
4. จังหวัดจ่าวิงห์จัดสรรงบประมาณล่าช้าให้กับโครงการพัฒนาโครงการต่างๆ ในจังหวัด
จากรายงานของสำนักงานการวางแผนและการลงทุนจังหวัดจ่าวิงห์ชี้ให้เห็นว่า ความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหลายโครงการเกิดความล่าช้าเนื่องจากการจัดสรรงบประมาณจากทางจังหวัด ในปัจจุบันนี้ จังหวัดสามารถจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการต่างๆ ได้เพียง 461 พันล้านด่ง คิดเป็นเพียงร้อยละ 19 ของแผนการจัดสรรงบประมาณในปีนี้
นาย Do Van Khe ผู้อำนวยการสำนักงานการวางแผนและการลงทุนจังหวัดจ่าวิงห์ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2560 งบประมาณที่จังหวัดจ่าวิงห์วางแผนใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ มีจำนวน 2,361 พันล้านด่ง ในจำนวนนั้นเป็นโครงการต่อเนื่อง 112 โครงการ และโครงการใหม่ 75 โครงการ ซึ่งในจำนวนโครงการใหม่นั้น มีถึง 66 โครงการ ที่ยังไม่ได้ลงนามสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้าง และหลายโครงการต่อเนื่องยังไม่ได้รับเงินงบประมาณเพิ่มเติม
นอกจากนั้น แม้ว่าโครงการศูนย์ราชการอำเภอ Duyen Hai จะได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลกลางตั้งแต่ปี 2559 แล้ว แต่จังหวัดยังไม่อนุมัติจัดจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว นาย Dong Van Lam ประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดจ่าวิงห์ได้สั่งการให้ทุก สำนักงานและหน่วยงานในจังหวัดรีบเร่งดำเนินการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงการและลดระยะเวลาการจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยหากโครงการใหม่ยังไม่มีความก้าวหน้าภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ทางคณะกรรมการประชาชนจังหวัดจ่าวิงห์จะนำเงินที่จัดสรรไว้สำหรับโครงการเหล่านั้นไปสนับสนุนโครงการอื่นๆ แทน
ที่มา หนังสือพิมพ์ Bao Tin Tuc วันที่ 25 พฤษภาคม 2560
5. นครเกิ่นเทอต้องการเพิ่มบริษัทในนครเพื่อเพิ่มการจ้างงาน
ภาพที่ 3 ตัวเมืองนครเกิ่นเทอ
การประชุมของสำนักงานคณะกรรมการประชาชนนครเกิ่นเทอร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในนครเกิ่นเทอได้ตั้งเป้าหมายหลักให้นครเกิ่นเทอมีบริษัทเกิดใหม่ 6,900 บริษัท ภายในปี 2563
ในปัจจุบัน นครเกิ่นเทอมีบริษัทกว่า 6,900 บริษัท เงินจดทะเบียนรวมมูลค่า 55.5 ล้านล้านด่ง (ประมาณ 2.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือคิดเป็นบริษัทละประมาณ 8 พันล้านด่ง สร้างงานให้แรงงานกว่า 101,500 คน โดยภายหลังการประชุมข้างต้น นครเกิ่นเทอคาดหวังจะมีจำนวนบริษัทภายในนคร 13,800 บริษัทภายในปี 2563 โดยในจำนวนบริษัทเกิดใหม่นั้น บริษัทร้อยละ 20 – 25 จะเป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตผลิตภัณฑ์ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตมวลรวมของจังหวัด (GDRP) ได้ถึงร้อยละ 50 -60 และสร้างงานให้แรงงานกว่า 210,000 คน โดยร้อยละ 40 จะเป็นแรงงานเพศหญิง
เมื่อปีที่แล้ว นครเกิ่นเทอมีบริษัทเกิดใหม่กว่า 1,100 บริษัทและ 400 บริษัทในช่วง 4 เดือนแรก อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นครเกิ่นเทอจำเป็นต้องมีบริษัทเกิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1,700 บริษัทต่อปี
นาย Nguyen Phuong Lam รองผู้อำนวยการหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม สาขานครเกิ่นเทอ กล่าวว่า ในประเทศพัฒนาแล้ว จะมีจำนวนในอัตราส่วน 1 บริษัทต่อประชากร 10 – 15 คน แต่ในเวียดนาม มีอัตรา 1 บริษัทต่อ 248 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง อัตราการจัดตั้งบริษัทยิ่งต่ำมาก โดยคิดเป็น 450 คน ต่อ 1 บริษัท โดยในนครเกิ่นเทอมีอัตรา 250 – 300 คน ต่อ 1 บริษัท
นาย Lam ได้กล่าวเสริมว่า การตั้งเป้าหมายดังกล่าวสามารถทำได้ โดยจังหวัดจะต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อม ในการดำเนินธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันของจังหวัดให้ดีขึ้น โดยนครเกิ่นเทอเป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาธุรกิจที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แต่ยังคงขาดบริษัทชั้นนำที่จะสร้าง แรงขับเคลื่อนสำหรับบริษัทขนาดกลาง-ย่อม นครเกิ่นเทอจึงควรจะตั้งใจพัฒนาบริษัท Startups ที่มีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ควรมองหาการลงทุนจากบริษัทที่มีที่ตั้งในจังหวัดอื่นๆ อย่างเช่นในนครโฮจิมินห์ และควรจะยกระดับคุณภาพการศึกษาของนักศึกษาในจังหวัด
นาย Tran Quoc Ha ผู้อำนวยการธนาคารแห่งชาติเวียดนาม สาขานครเกิ่นเทอ กล่าวว่า เว็บไซต์ E-Portal ของนครเกิ่นเทอควรจะจัดตั้งห้องพูดคุยของผู้ประกอบธุรกิจ Startup โดยให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับนโยบาย การส่งเสริม ธุรกิจ Startup ของนครเกิ่นเทอเพื่อให้ผู้ที่สนใจรับทราบและจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวในการพัฒนาธุรกิจ Startup ตลอดจนธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องจักรอัตโนมัติ
ที่มา หนังสือพิมพ์ Vietnam Investment Review วันที่ 26 พฤษภาคม 2560
URL: http://www.vir.com.vn/can-tho-wants-more-firms-jobs.html
6. บริษัทขุดทรายในจังหวัดกว๋างนามกำลังดำเนินกิจการอย่างผิดกฎหมาย
ประชาชนในอำเภอ Que Son จังหวัดกว๋างนามได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างนามให้จัดการกับบริษัท Trung Dung บริษัทขุดทรายที่ดำเนินกิจการโดยยังไม่ได้รับใบอนุญาต โดยบริษัทได้ดำเนินการขุดทรายกว่า 100 ลูกบาศก์เมตรในแต่ละวัน และได้ส่งไปขายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเวียดนาม
ในวันที่ 17 มีนาคม 2560 นาย Huynh Khanh Toan รองประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างนามได้ออกเอกสารให้บริษัท Trung Dung เตรียมยื่นเอกสารที่จำเป็นในการขออนุญาตขุดทราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเคลียร์พื้นที่เตรียมก่อสร้างศูนย์สิ่งทอผ้าในอำเภอ Que Son พื้นที่ 20 เฮกตาร์ โดยกลุ่มบริษัท Vinatex ซึ่งทรายที่ขุดได้ในบริเวณดังกล่าวจะต้องถูกส่งไปใช้ในโครงการโรงงานกระจก Chu Lai เท่านั้นตามที่ระบุไว้ในเอกสาร อย่างไรก็ตาม แทนที่บริษัทจะดำเนินการทางเอกสารให้แล้วเสร็จ บริษัทได้ลงมือขุดทรายเพื่อนำไปขายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเวียดนามซึ่งขัดแย้งกับสัญญา
นาย Bui Van Ba หัวหน้าแผนกทรัพยากรธรรมชาติ สังกัดสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดกว๋างนาม กล่าวว่า การกระทำของบริษัท Trung Dung เป็นการกระทำที่ผิดและจังหวัดควรจะมีมาตรการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งในบริเวณดังกล่าวมีทรายมากกว่า 32,000 ลูกบาศก์เมตร อยากไรก็ตาม บริษัท Trung Dung จะได้รับอนุญาตให้เป็นผู้รับเหมาเคลียร์พื้นที่บริเวณดังกล่าวต่อไป
ที่มา หนังสือพิมพ์ Tuoi Tre วันที่ 28 พฤษภาคม 2560
URL: http://tuoitre.vn/tin/chinh-tri-xa-hoi/20170528/khai-thac-lui-hang-van-khoi-cat-trang/1321845.html
7. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เวียดนามมีการควบรวมกิจการเป็นจำนวนมาก
ภาพที่ 4 ภาพจำลองโครงการ Everich 3
ในปัจจุบัน ตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เวียดนามมีจำนวนการควบรวมกิจการเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้ ธุรกิจการควบรวมกิจการจะมีจำนวนสูงที่สุด
การควบรวมกิจการเป็นหนึ่งในแผนการดำเนินธุรกิจที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักอสังหาริมทรัพย์ที่มีเงินทุนจำนวนมากเนื่องจากการควบรวมกิจการเป็นการดำเนินธุรกิจที่สะดวกรวดเร็วและสามารถเพิ่มโอกาสให้บริษัทได้มากขึ้น ทั้งนี้ เงินทุนจำนวนมากที่ไหลเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปในสถานะการควบรวมกิจการทำให้โครงการที่ล่าช้ามานานสามารถกลับมาดำเนินการใหม่อีกครั้ง ลดขั้นตอนการดำเนินงานและลดหนี้เสีย
หนึ่งในการควบรวมกิจการที่สำคัญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ได้แก่โครงการ Phuoc Kien ในอำเภอ Nha Be นครโฮจิมินห์ ซึ่งบริษัท Quoc Cuong Gia Lai ขายให้กับบริษัท Sunny Island และไม่นานมานี้ กลุ่มบริษัท Pha Dat Real Estate Development Corporation ประกาศว่าได้หาหุ้นส่วนในการขายโครงการ EverRich 3 ในนครโฮจิมินห์ได้แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถขายโครงการทั้งหมดออกไปได้ในราคาประมาณ 2.5 – 3 พันล้านด่ง
นอกจากนั้น ในเดือนมีนาคม 2560 บริษัท An Gia Real Estate Development and Investment Company ร่วมมือกับกลุ่มบริษัท Creed Group ประเทศญี่ปุ่น ในการซื้อพื้นที่ 7 บล็อก ในโครงการ Lacasa เขต 7 นครโฮจิมินห์ จากบริษัท Van Phat Hung โดยก่อนหน้านี้ บริษัท An Gia ได้ดำเนินการซื้อโครงการที่ล่าช้ามาแล้วหลายโครงการและมีแผนการจะควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นในอนาคต
การควบรวมกิจการได้กลายเป็นยุทธศาสตร์การดำเนินงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายๆ บริษัท เช่น บริษัท Hung Thinh Real Estate ซึ่งได้ซื้อโครงการที่ดำเนินการล่าช้ากว่า 20 โครงการและได้เริ่มการก่อสร้างแล้วใน 10 โครงการที่ซื้อมาและได้ขายห้องออกไปแล้วบางส่วน เช่น โครงการ Moonlight Park View โครงการ Tan Huong Tower โครงการ Sky Center และโครงการ Mekody Residence นอกจากนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายๆ รายก็ได้ใช้แผนการนี้เช่นกัน เช่น บริษัท Novaland บริษัท Greenland บริษัท Thu Duc House
นาย Le Hoang Chau ประธานสมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนครโฮจิมินห์ กล่าวว่า การควบรวมกิจการได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2 ปีมานี้ เนื่องจากนักลงทุนเห็นถึงโอกาสที่สดใสในตลาดเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนครโฮจิมินห์และนครดานัง ซึ่งมีโครงการที่ดำเนินการล่าช้ากว่า 500 โครงการ
บริษัท JLL Viet Nam กล่าวว่า ฮ่องกง สิงคโปร์ และเกาหลี เป็น 3 ประเทศหลักๆ ที่ลงทุนในธุรกิจประเภทนี้มากและจะมีบทบาทอย่างมากในอนาคต
ที่มา หนังสือพิมพ์ Vietnam Investment Review วันที่ 28 พฤษภาคม 2560
URL: http://www.vir.com.vn/property-sector-to-see-many-mergers-acquisitions.html
************************************************************
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)