วันที่นำเข้าข้อมูล 1 มิ.ย. 2560
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 24 ก.ย. 2563
ข่าวเด่นวันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2560
1. นครโฮจิมินห์จำเป็นต้องใช้เงิน 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 7 โครงการนำร่อง
ภาพที่ 1 นครโฮจิมินห์
นครโฮจิมินห์จำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวน 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนาระบบโครงสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน สิ่งแวดล้อมในการลงทุน ระบบสาธารณสุข การบริหารจัดการ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การแก้ไขปัญหาการจารจร การพัฒนาระบบจัดการน้ำท่วม ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนในเขตตัวเมืองและรอบนอกเมือง ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรภายในเมืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานโครงการนำร่อง 7 โครงการภายในปี 2563
สำนักคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์รายงานว่า ทั้ง 7 โครงการดังกล่าวได้รับอนุมัติจากการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์นครโฮจิมินห์ครั้งที่ 10 เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายในนครโฮจิมินห์ในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันนี้ โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ระบบสาธารณสุข และการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแล้วเสร็จไปบางส่วน
งบประมาณ 40 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนา 7 โครงการนำร่องนี้จะมาจากการแบ่งสรรเงินจากรัฐบาลส่วนกลาง เงินงบประมาณของนครโฮจิมินห์ เงินลงทุนโดยบริษัทต่างชาติ ตลอดจนเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA)
ทั้งนี้ สำนักงานการคลังนครโฮจิมินห์รายงานว่า รายได้งบประมาณของนครโฮจิมินห์ในช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม คิดเป็นมูลค่า 147.5 ล้านล้านด่ง (ประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 รายได้จากน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 และรายได้การนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.24 การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในขณะที่การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปี 2559
นาย Phan Thi Thang ผู้อำนวยการสำนักงานการคลังนครโฮจิมินห์กล่าวในงานสัมมนาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ว่า ณ ขณะนี้ รายได้งบประมาณของนครโฮจิมินห์คิดเป้นร้อยละ 42.39 ของแผนประจำปีนี้ที่วางไว้โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นสืบเนื่องมาจากค่าเช่าที่ การถอนหุ้นจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และภาษีการโอนหุ้น ตลอดจนระบบเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นก็มีส่วนทำให้รายได้งบประมาณของนครโฮจิมินห์เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ตัวอย่างการชำระภาษีเข้างบประมาณรายได้ของนครโฮจิมินห์ได้แก่ 1. บริษัท Satra ชำระภาษีให้กับภาครัฐ 1.8 ล้านล้านด่ง 2. บริษัทร่วมทุนจ่ายค่าเช่าที่ 2.85 ล้านล้านในโครงการ Thu Thiem Peninsula และ 3. การจ่ายภาษี 1.8 ล้านล้านด่งในการโอนหุ้นจากบริษัท Holcim Vietnam ของบริษัท Siam City Cement
ทั้งนี้ นครโฮจิมินห์ได้แบ่งสรรเงินงบประมาณ 76.5 ล้านล้านด่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 เมื่อเทียบกับปี 2560 ให้กับโครงการก่อสร้างพัฒนาเมืองต่างๆ โดยเน้นการพัฒนาระบบขนส่งทางบกและโครงการจัดการน้ำท่วม
ที่มา The Saigon Times Daily วันที่ 30 พฤษภาคม 2560 หน้า 1-2
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 รูปแบบในนครโฮจิมินห์ที่ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ
ภาพที่ 2 พื้นที่ Start Up ให้เช่าในนครโฮจิมินห์
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 รูปแบบในนครโฮจิมินห์ที่ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติได้แก่ 1. สำนักงานให้เช่า 2. ที่เก็บสินค้า 3. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการศึกษาและธุรกิจ Start Up
บริษัท Savills Viet Nam ได้ออกประกาศรายงาน “คำแนะนำการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” โดยได้ระบุว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ๆ กำลังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดที่เกิดใหม่ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยและมีกำไรสูง อย่างเช่น เวียดนาม (โดยเฉพาะในนครโฮจิมินห์) มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
ในรายงานดังกล่าวได้แนะนำให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนครโฮจิมินห์ในปี 2560 ให้ลงทุนใน 3 รูปแบบข้างต้น คือ
สำนักงานให้เช่าคือรูปแบบการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้มาก ตลาดสำนักงานให้เช่าในนครโฮจิมินห์คือหนึ่งในตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในภูมิภาค มีความต้องการเช่าพื้นที่เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าที่เช่าที่ต่างมีความต้องการอยากเช่าที่เพิ่มขึ้นและเช่าพื้นที่ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 จำนวนพื้นที่สำนักงานให้เช่าในนครโฮจิมินห์มีอัตราครอบครองถึงร้อยละ 97 ธุรกิจที่นิยมเช่าพื้นที่ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจประกันภัย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนสร้างพื้นที่เก็บสินค้าและโกดังสินค้าในนครโฮจิมินห์ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่มีศักยภาพอย่างมาก บริษัทต่างชาติจำนวนมากกำลังให้ความสนใจในการเช่าพื้นที่เก็บสินค้าและโกดังเก็บสินค้าเพื่อที่จะสามารถขนย้ายสินค้าไปยังร้านขายปลีกในนครโฮจิมินห์ได้โดยง่าย นอกจากนั้น หากเช่าพื้นที่ที่เหมาะสม ผู้เช่ายังสามารถส่งสินค้าไปให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิบธิภาพและรวดเร็ว
การลงทุนสร้างพื้นที่ให้บริการการศึกษาและธุรกิจ Start Up สามารถทำกำไรได้มากเนื่องมาจากความต้องการด้านการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นภายในนครโฮจิมินห์ นอกจากนั้น ธุรกิจ Start Up ก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยธุรกิจดังกล่าวจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในนครโฮจิมินห์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา สำนักข่าว VnExpress วันที่ 29 พฤษภาคม 2560
3. บริษัท Microsoft เตรียมร่วมมือกับเมืองญาจางในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 บริษัท Microsoft Viet Nam ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างคณะกรรมการประชาชนจังหวัดคั้นหว่าเรื่องการพัฒนาเมืองญาจางให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะช่วยกันตรวจสอบและติดตั้งระบบการจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาในด้านการศึกษา สาธารณสุข E-Portal ตลอดจนการท่องเที่ยวที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาปรับใช้
นาย Ong Vu Minh Try ผู้อำนวยการบริษัท Microsoft Viet Nam ได้กล่าวไว้ว่า เมืองอัจฉริยะหมายถึง ทุกๆ เช้า ประธานคณะกรรมการประชาชนจะต้องรู้ว่าเมืองกำลังรถติดที่ไหน ประชาชนกำลังรู้สึกอย่างไร และต้องใช้อะไรแก้ไข ซึ่งเมืองญาจางเป็นเมืองที่ 3 ที่บริษัทได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับจังหวัด นอกเหนือจาก กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าพัฒนาเมืองญาจางให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะแห่งการท่องเที่ยวให้ได้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมาที่เมืองญาจางและเวียดนามมากขึ้น
นอกจากนั้น นาย Tran Viet Trung ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดคั้นหว่าได้กล่าวว่า ในปัจจุบัน จังหวัดก็กำลังทำงานร่วมกับกลุ่มบริษํท FPT สร้างระบบการท่องเที่ยวอัจฉริยะที่เรียกว่า “Smart Travel” ที่จะพัฒนาสิ่งแวดล้อมในการลงทุน รวมถึงสิ่งแวดล้อมทางการท่องเที่ยว ทั้งยังสามารถยกระดับการประชาสัมพันธ์เมืองญาจาง จังหวัดคั้นหว่าให้นักท่องเที่ยวรับรู้เพิ่มขึ้น โดยทุกคนจะสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Smart Travel ได้เพียงแค่เชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตและกดเข้าไปชมข้อมูลต่างๆ ได้ทันที
ที่มา หนังสือพิมพ์ Tuoi Tre วันที่ 25 พฤษภาคม 2560
4. โครงการการชลประทานขนาดใหญ่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงควรจะถูกตรวจสอบอีกครั้ง
นาย Le Anh Tuan รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ มหาวิทยาลัยนครเกิ่นเทอ กล่าวว่า โครงการการชลประทานขนาดใหญ่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงควรจะศึกษาและประเมินเพื่อหาข้อดีและข้อเสียก่อนการก่อสร้าง โดยโครงการระบบชลประทาน Cai Lon – Cai Be จะต้องใช้จำนวนเงินถึง 3.3 ล้านล้านด่ง (ประมาณ 145.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในระยะที่ 1 ซึ่งโครงการดังกล่าวยังไม่มีการประเมินผลกระทบจากการก่อสร้างและเกรงว่าชาวบ้านจะไม่ได้รับผลประโยชน์เท่าที่ควร
นาย Tuan กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศวิทยาในบริเวณดังกล่าวมีความอ่อนไหว มีชนิดของน้ำ 3 ชนิดได้แก่น้ำจืดจากแม่น้ำ น้ำกร่อย และน้ำเค็มทะเลบริเวณชายฝั่ง ซึ่งหากมีการสร้างเขื่อนเกิดขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำได้และอาจจะเกิดมลพิษในเขื่อน และคณะกรรมการจัดทำโครงการยังไมได้ประเมินถึงผลกระทบเหล่านี้
รัฐบาลได้อนุมัติในหลักการในการสร้างโครงการระบบชลประทาน Cai Lon – Cai Be ระยะที่ 1 ในเดือนเมษายน 2560 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการแทรกซึมของน้ำเค็ม จัดการปัญหาต่างๆ ในการเกษตรและการประมงในบริเวณจังหวัดเกี่ยนยาง จังหวัดเหิ่วยาง และจังหวัดบากเลียว และพัฒนาการประมงอย่างมีคุณภาพในบริเวณชายทะเลของจังหวัดเกี่ยนยาง ตลอดจนช่วยเก็บรักษาน้ำสะอาดในบริเวณชายฝั่งเพื่อเตรียมพร้อมไว้ยามขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งและป้องกันไฟป่า นอกจากนั้น ยังพัฒนาความสามารถในการจัดเก็บน้ำฝนและลดความเป็นกรดของดินได้อีกดว้ย
ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times Daily วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 หน้า 2
5. นักลงทุนฮ่องกงสนใจลงทุนโครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานในเวียดนาม
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญชาวฮ่องกงประมาณ 40 คน ที่มีความสนใจในการลงทุนพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานในเวียดนามได้เดินทางมาสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุน นาย Vincent HS Lo ประธานสมาคมพันธ์การค้าฮ่องกงกล่าวว่า นักลงทุนที่มาร่วมสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุนต่างเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์เป็นอย่างสูงที่พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในเวียดนาม โดยต้องการที่จะมาลงทุนในด้านคมนาคมทางบกและระบบท่าเรือและท่าอากาศยาน และโครงการพัฒนาทางด่วนภาคเหนือ-ใต้ที่มีระยะทางยาวกว่า 1,300 กิโลเมตร
นอกจากการลงทุนเพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานแล้ว นักลงทุนชาวฮ่องกงยังสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย นาย Jonathan Koon-shum CHOI ประธานกลุ่มบริษัท Sunwah กล่าวว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์อยางมาก โดยเฉพาะในนครโฮจิมินห์ และจังหวัดในภาคกลาง
จากข้อมูลของสำนักงานการลงทุนต่างประเทศ สังกัดกระทรวงการวางแผนและการลงทุน เมื่อนับถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ฮ่องกงลงทุนในเวียดนามมากที่สุดลำดับที่ 6 โดยมีโครงการการลงทุนกว่า 1,200 โครงการ มูลค่ารวม 17.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2559 เวียดนามคือตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของฮ่องกง มูลค่าการส่งออก 9.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของเวียดนามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา หนังสือพิมพ์ Bao Dau Tu วันที่ 28 พฤษภาคม 2560
URL: http://baodautu.vn/nha-dau-tu-hong-kong-tim-hieu-du-an-ha-tang-tai-viet-nam-d63985.html
6. นักลงทุนไต้หวันย้ายการลงทุนไปที่จังหวัดบิ่นห์เยืองเพราะถนนกว้างและตำรวจจราจรน้อย
นาย Chien Chih Minh ประธานสมาคมนักธุรกิจไต้หวันในจังหวัดด่งนาย กล่าวในการประชุมระหว่างนักธุรกิจไต้หวันกับหน่วยงานในจังหวัดด่งนายว่า ก่อนหน้านี้ จังหวัดด่งนายคือจังหวัดที่นักลงทุนไต้หวันนิยมมาลงทุนมากที่สุด แต่ในระยะหลัง นักลงทุนไต้หวันหันไปลงทุนที่จังหวัดบิ่นห์เยืองแทน ถึงแม้ว่าปัจจัยในการลงทุนในด้านต่างๆ ของจังหวัดบิ่นห์เยืองจะยังไม่เทียบเท่าด่งนาย แต่ถนนในจังหวัดบิ่นห์เยืองกว้างกว่า มีตำรวจจราจรน้อยกว่าทำให้ไม่เสียเวลาในการถูกเรียกตรวจสินค้าบ่อยครั้ง และมีแรงงานเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น คณะกรรมการประชาชนจังหวัดบิ่นห์เยืองยังมีนโยบายดึงดูดนักลงทุนไต้หวันและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนไต้หวัน
นาย Minh ยังชี้ว่า ปัญหาเรื่องภาษีคือปัญหาที่นักลงทุนไต้หวันกังวลมากที่สุดเพราะมักจะถูกปรับเงินเป็นจำนวนมากอยู่บ่อยๆ เพราะความไม่เข้าใจเรื่องภาษาและกฎหมายภาษีเวียดนามมีความสลับซับซ้อนและมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ ทำให้นักธุรกิจเกิดความสับสนและนักบัญชีของบริษัทจ่ายภาษีผิดพลาดบ่อยครั้ง
ดังนั้น สมาคมนักธุรกิจไต้หวันในจังหวัดด่งนายจึงต้องการเรียกร้องให้ทางจังหวัดรีบแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะเรื่องกฎหมายภาษีโดยเร็ว
ภายหลังจากการประชุม นาย Tran Van Vinh รองประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดด่งนายกล่าวขอบคุณนักลงทุนไต้หวันที่ลงทุนในจังหวัด โดยนักลงทุนไต้หวันเป็นนักลงทุนกลุ่มแรกๆ ของจังหวัดที่เริ่มดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 2531 โดยในปัจจุบัน มีโครงการลงทุนในจังหวัดกว่า 286 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 5.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตนได้รับทราบถึงปัญหาและแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รีบจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว
ที่มา หนังสือพิมพ์ Thanh Nien วันที่ 30 พฤษภาคม 2560
7. รองนายกรัฐมนตรีประกาศหยุดโครงการพัฒนาพื้นที่ภูเขา Son Tra
ภาพที่ 3 พื้นที่บริเวณคาบสมุทร Son Tra
ภายหลังการประชุมระหว่างนาย Vu Duc Dam รองนายกรัฐมนตรีกับตัวแทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการประชาชนนครดานังในวันที่ 28 พฤษภาคม 2560 เกี่ยวกับแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวบริเวณภูเขา Son Tra และจากการได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่ด้วยตนเอง นาย Dam ได้ประกาศหยุดโครงการดังกล่าวไปก่อน เพราะหลายฝ่ายมีความกังวลเรื่องการรุกล้ำธรรมชาติในบริเวณดังกล่าว โดยได้สั่งให้คณะกรรมการประชาชนนครดานังไปตรวจสอบข้อเสนอก่อนที่จะส่งรายงานไปยังนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และให้เวลากับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว 3 เดือนในการจัดสัมมนาเชิญผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันตรวจสอบถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นและวิธีการอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าว
ตามรายงานของกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว คณะกรรมการประชาชนนครดานังได้เตรียมแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวบริเวณภูเขา Son Tra ไว้ตั้งแต่ปี 2556 และได้ยื่นเสนอให้กับรัฐบาลในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 และประกาศให้กับสาธารณชนรับทราบในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งภายหลังประกาศก็พบกับข้อติเตียนและความกังวลกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
คณะกรรมการประชาชนนครดานังได้อนุมัติในหลักการให้ก่อสร้างโครงการ 18 โครงการในบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะมีการก่อสร้างห้องพักกว่า 5,000 ห้อง แต่แผนการพัฒนาดังกล่าวอนุญาตให้สร้างแค่ 1,600 ห้อง ซึ่งจะใช้พื้นที่ประมาณ 1,000 เฮกตาร์จากทั้งหมด 4,439 เฮกตาร์ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 3.5 ล้านคนในปี 2567 และมากกว่า 4.6 ล้านคนในปี 2573
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเปิดเผยแผนการดังกล่าวสู่สาธารณชน สมาคมการท่องเที่ยวนครดานังก็ได้ยื่นหนังสือไปยังคณะรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทบทวนถึงแผนการดังกล่าวเสียก่อน โดยไม่ให้มีการก่อสร้างห้องพักเพิ่มเติม จากที่สร้างไว้เดิมจำนวน 300 ห้อง
ที่มา The Saigon Times Daily วันที่ 31 พฤษภาคม 2560
URL: http://english.thesaigontimes.vn/54216/Son-Tra-zoning-plan-put-on-hold.html
8. ร้านสะดวกซื้อ Saigon Co.op จะขายสินค้าอาหารปลอดสารพิษทั่วประเทศ
ภาพที่ 4 บริเวณขายสินค้าอาหารปลอดสารพิษ
นาย Nguyen Thanh Nhanh ผู้อำนวยการบริษัท Saigon Co.op ให้สัมภาษณ์ในงานเปิดตัวโครงการการบริโภคสินค้าอาหารปลอดสารพิษในนครโฮจิมินห์ที่หนังสือพิมพ์ Saigon Giai Phong ร่วมมือกับบริษัทจัดขึ้นว่า เป็นระยะเวลาเกือบ 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่บริษัทได้นำสินค้าอาหารปลอดสารพิษเข้ามาขายในบางสาขาซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคทำให้จำนวนสินค้าอาหารปลอดสารพิษไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าขายสินค้าอาหารปลอดสารพิษในทุกๆ สาขาภายในนครโฮจิมินห์และจะพยายามขยายตลาดออกไปให้ทั่วทุกสาขาในประเทศ
สินค้าอาหารปลอดสารพิษที่ขายในเครือข่ายร้านสะดวกซื้อของบริษัทยกตัวอย่างเช่น ข้าว กุ้ง ผัก ผลไม้ และปลา ซึ่งสินค้าจำพวกข้าว ผักและผลไม้มาจากฟาร์มปลอดสารพิษที่มีพื้นที่ 300 เฮกตาร์ ของบริษัท Vien Phu ในจังหวัดก่าเมา และมีบางส่วนมาจากบริษัท Vinamit ในจังหวัดบิ่นห์เยือง โดย นาย Nhan กล่าวเสริมว่า บริษัทจะขยายการขายสินค้าอาหารปลอดสารพิษในร้านสาขาต่างๆ ในราคาเดิมและจะเพิ่มการผลิตสินค้าอาหารปลอดสารพิษและการนำเข้าสินค้าอาหารปลอดสารพิษจากแหล่งอื่นๆ ที่มีคุณภาพแทน เพื่อลดภาระของผู้บริโภค
ทั้งนี้ นาย Nhan รับประกันคุณภาพของสินค้าอาหารปลอดสารพิษว่าผ่านการตรวจสอบ 3 ขั้นตอน คือ 1. การตรวจสอบจากแหล่งผลิต 2. การตรวจสอบสินค้าอาหารปลอดสารพิษของบริษัทเอง และ 3 การตรวจสอบสินค้าอาหารปลอดสารพิษของพนักงานตรวจสอบคุณภาพ ที่สาขาต่างๆ
ในปัจจุบัน บริษัทมีร้านสะดวกซื้อ Saigo Co.op 87 สาขาและมีร้าน Co.opFood 130 สาขา โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม บริษัทได้ทดลองขายสินค้าอาหารปลอดสารพิษในร้าน 7 สาขา
ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times วันที่ 31 พฤษภาคม 2560
URL: http://www.thesaigontimes.vn/160830/saigon-coop-se-ban-thuc-pham-huu-co-tren-ca-nuoc.html/
9. ตลาดและห้างสรรพสินค้าในนครโฮจิมินห์ยืนยันจะไม่ขายสินค้าเถื่อน
ภาพที่ 5 ตลาด Ben Thanh
ตลาด Ben Thanh ในเขต 1 ตลาด Kim Bien ในเขต 5 ตลาด Binh Tay ในเขต 6 ตลาด Tan Binh ในเขต Tan Binh ตลาด Ba Chieu ในเขต Binh Thanh ห้างสรรพสินค้า Saigon Square และห้างสรพพสินค้า An Dong Plaza ให้คำมั่นกับคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ว่าจะไม่ขายสินค้าเถื่อนหรือสินค้าลอกเลียนแบบ
หน่วยงานตรวจสอบตลาดในนครโฮจิมินห์จะร่วมมือกับผู้บริหารตลาดและห้างสรรพสินค้าในการแจ้งให้ร้านค้าภายในตลาด/ห้างของตนทราบถึงกฎระเบียบและกฎหมายที่ถูกต้อง โดยจะไม่อนุญาตให้ผู้ที่ขายของเถื่อนและขายสินค้าที่ไร้คุณภาพเช่าพื้นที่ขายอีกต่อไป โดยสินค้าเหล่านั้นมักจะมีแหล่งผลิตจากประเทศจีน
นาย Jun Okubo บริษัท Yonex บริษัทที่ผลิตสินค้ากีฬาจากญี่ปุ่นกล่าวว่า ในปัจจุบัน สามารถพบเห็นสินค้าเถื่อนจำนวนหลายชิ้นที่ใช้ยี่ห้อ Yonex ในเวียดนามและมักจะผลิตจากจีน นอกจากนั้น ตัวแทนจากบริษัท Panasonic ยังกล่าวว่า มีอุปกรณ์ไฟฟ้าเถื่อนและอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือนหลายชนิดใช้ชื่อสินค้าว่า Panasoni หรือ Panasonie ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสับสนและหลงซื้อไปโดยคิดว่าเป็นของบริษัทตน ทั้งนี้ สินค้าเถื่อนยี่ห้อดัง เช่น Chanel, Louis Vuitton, Nike, Adidas และ Rolex ยังมีขายอยู่ทั่วประเทศเวียดนาม
หน่วยงานตรวจสอบตลาดในนครโฮจิมินห์กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปี หน่วยงานสามารถจับกุมผู้กระทำผิดที่เกี่ยวกับการขายสินค้าเถื่อนได้ 200 ราย จับกุมของกลางแบ่งเป็นรองเท้า 2,700 คู่ ผลิตภัณฑ์กันน้ำกว่า 250 กิโลกรัม และสินค้าเครื่องแต่งกาย อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางกว่า 49,000 ชิ้น
ที่มา ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times วันที่ 1 มิถุนายน 2560 หน้า 1
10. การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมในนครโฮจิมินห์ นครดานัง และนครเกิ่นเทอ
รายงานการสำรวจสภาพตลาดของสินค้า FMCG โดยบริษัท Kantar Worldpanel ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560ชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 ในขณะที่การบริโภคผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ เติบโตขึ้นทั้งในเรื่องของราคาและปริมาณ แต่การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมในนครโฮจิมินห์ นครดานัง และนครเกิ่นเทอ กลับมีแนวโน้มลดลงถึงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไปกำลังมีแนวโน้มการบริโภคลดลงในนครโฮจิมินห์ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ชนบทของเวียดนาม การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอยู่ โดยมีมูลค่าการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7
เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ FMCG ในเมืองใหญ่ของเวียดนาม ได้แก่ นครโฮจิมินห์ นครดานัง และนครเกิ่นเทอ ต่างมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีมูลค่าการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 มีปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ในพื้นที่ชนบทก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยมีมูลค่าการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และมีปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9
จากรายงานดังกล่าว ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคใน 3 เมืองใหญ่มากที่สุดคือเครื่องดื่มและสินค้าบรรจุภัณฑ์ นอกจากนั้น สินค้าสุขภัณฑ์ยังมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นและมีศักยภาพการขยายตลาดที่ดีในอนาคต
ทั้งนี้ ช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้ามากที่สุดคือร้านขายปลีกขนาดย่อมและมีอัตราการขยายตัวใน 3 เมืองใหญ่ข้างต้นและในพื้นที่ชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่มา หนังสือพิมพ์ The Saigon Times วันที่ 30 พฤษภาคม 2560 URL: http://www.thesaigontimes.vn/160771/Tieu-thu-sua-cac-san-pham-tu-sua-tai-thanh-thi-giam.html
**************************************************************
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์
อีเมลสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
ติดต่อทั่วไป
แผนกเศรษฐกิจ
แผนกกงสุล (หนังสือเดินทาง, นิติกรณ์และทะเบียนราษฎร์, บัตรประชาชน, การตรวจลงตราและรับรองเอกสาร)